ads 728x90

4 วิธีทำโทษลูกอย่างมีเหตุผล ลงโทษลูกทีไร คนเสียใจคือ พ่อแม่ ทุกที

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ลงโทษลูกทีไร … คนเสียใจคือพ่อแม่ ทุกที!


“รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี “ แต่คนที่เสียใจทำไมต้องเป็นพ่อแม่ ?
ในกระดานเวบบอร์ด ของสมาคมคุณแม่ยุค social network มักมีคำถามที่ระบายความในใจว่า “แม่ๆ เคยฟิวส์ขาด ตีลูก ด้วยความโมโหบ้างไหม”
“เหนื่อยใจที่ลูกดื้อ/ซนและเสียใจที่ตีลูก”
“เมื่อคืนเสียใจร้องไห้อย่างหนัก ที่ตีลูก”

บ่อยครั้ง ที่ได้ยินได้ฟังเสียงคร่ำครวญเสียอกเสียใจจาก พ่อแม่หลายท่านที่พลั้งมือลงโทษลูกน้อยแบบไม่มีเหตุผล ลูกอาจจะแค่เจ็บตัว เสียใจบ้าง แต่คนที่รู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าก็คือ พ่อแม่ นี่เอง สุภาษิตไทยที่ว่า “รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี” มักจะใช้กันตั้งแต่โบร่ำโบราณ และก็สามารถสร้างคนให้เป็นเจ้าคนนายคนมานักต่อนัก แต่การเลี้ยงดูลูกๆในยุค ไซเบอร์ มักทำให้พ่อแม่หลายคน ไม่มั่นใจในการเลี้ยงดู อบรม สั่งสอน ลูกๆ จะตีก็ไม่ได้ เข้มงวดเกินไปก็ไม่ดี ประเดี๋ยวลูกจะเครียด หรือปล่อยปละละเลยตามใจมากจนเคยตัว อาจสร้างสังคมเด็กสปอยเกลื่อนเมือง

ต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าทำไม พ่อแม่ ต้องลงโทษลูก
พ่อแม่เป็นผู้ดูแลอบรมสั่งสอนลูก ถ้าลูกไม่เชื่อฟังย่อมต้องถูกลงโทษ การไม่ลงโทษเมื่อลูกกระทำผิด เท่ากับเป็นการให้ร้ายลูก การปล่อยให้ลูกกระทำผิดต่อไปเรื่อยๆ วันหนึ่งจะกลายเป็นนิสัยของเขา ซึ่งไม่มีใครแก้ไขได้ ครอบครัวบางครอบครัวที่เลี้ยงลูกอย่างตามใจมาตลอด ไม่เคยลงโทษลูกอย่างถูกต้อง เมื่อเด็กเติบโตขึ้นก็จะมีแนวโน้มเอาแต่ใจตัวเอง กลายเป็นเด็กที่มีนิสัยไม่ดี และเมื่อโตขึ้นก็จะทำผิดต่อกฎระเบียบของสังคม ดังนั้นการลงโทษเมื่อลูกกระทำผิดจึงเป็นสิ่งจำเป็น พ่อแม่ที่รักลูกไม่อาจปล่อยปละละเลยได้

พ่อแม่ไม่สามารถลงโทษลูกตามอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้ เช่น วันนี้อารมณ์ดี เมื่อลูกทำผิดก็ไม่ลงโทษ แต่วันใดที่อารมณ์ไม่ดี แม้ลูกไม่ทำผิดก็ดุว่าลูก การกระทำเช่นนี้จะทำให้เด็กไม่สามารถเรียนรู้ว่า สิ่งใดถูกสิ่งใดผิด และอาจทำให้เด็กรู้สึกบาดเจ็บในจิตใจต่อการกระทำของพ่อแม่ได้

4 วิธีทำโทษลูกอย่างมีเหตุผล

1. Time out
เมื่อลูกทำผิดให้พาไปในที่เงียบ ๆ ไม่มีสิ่งดึงดูดความสนใจ เพื่อให้เขาได้ทบทวนการกระทำของตัวเอง โดยระยะเวลาอาจขึ้นอยู่กับอายุของลูก เช่น 1 นาทีต่อ 1 ขวบ หรือจนกว่าลูกจะสงบสติอารมณ์ลงได้ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ลูกรู้จักควบคุมตัวเองได้ดี และยอมรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น เป็นวิธีการลงโทษทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ใช้ได้ผลดีกับเด็กอายุระหว่าง 2-4 ขวบ ซึ่งเด็กในวัยนี้จะมีการตอบสนองต่อการกระทำมากกว่าคำพูด
ทุกครั้งที่คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจที่จะทำโทษลูกด้วยวิธีนี้ จะต้องทำใจให้หนักแน่นไม่โอนอ่อนหรือสงสารลูก มิฉะนั้นแล้ว การทำโทษครั้งต่อไปจะไม่เป็นผลอีกเลย สำหรับเด็กโตที่ยังดื้อดึง กับการลงโทษด้วยวิธีนี้ พ่อแม่ ควรอบรมลูกให้ทราบว่า ทำไมจึงถูกทำโทษ และควรบอกว่าจะประพฤติอย่างไรให้เหมาะสม ซึ่งการบอกกล่าวจะช่วยให้ลูกได้คิดพิจารณาถึงความประพฤติที่ไม่ดีของตนเอง

2. สอนและตักเตือนด้วยวาจา
ไม่ใช้การบ่นหรือการดุด่า แต่เป็นการบอกให้ลูกทราบถึงเหตุและผลว่า สิ่งที่ทำไม่ถูกต้องอย่างไรและแนะนำสิ่งที่ถูกที่ลูกควรทำควรเป็นอย่างไร อาจใช้น้ำเสียงที่เรียบ ๆ แต่หนักแน่นจริงจัง เพื่อให้ลูกรู้ว่าพฤติกรรมนั้นไม่เหมาะสมสมควรได้รับการแก้ไข และที่พ่อแม่เตือนก็เพราะไม่อยากเห็นลูกทำผิดไม่ใช่เพราะโกรธหรือไม่รัก ถ้าเป็นเด็กเล็กควรอธิบายสั้นๆ ถ้าเด็กโตหรือวัยรุ่น สามารถแลกเปลี่ยนเหตุผลกับลูกได้ พ่อแม่เองก็สามารถจะเข้าใจและเหตุผลที่ลูกกระทำ ลูกเองก็จะได้เข้าใจในมุมมองของพ่อแม่

3. ส่งสัญญาณเตือนก่อน
หากลูกมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม พ่อแม่ ต้องส่งสัญญาณเตือนให้ลูกหยุดพฤติกรรมดังกล่าว ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องมีการจัดการกับพฤติกรรมของเขา โดยการเตือน อาจใช้น้ำเสียงที่เข้มขึ้นทั้งนี้ เพื่อให้ลูกรับรู้ถึงสัญญาณอันตรายที่ซ่อนอยู่ ทำให้ลูกมีโอกาสแก้ตัวหรือเตรียมตัวเตรียมใจหากต้องถูกลงโทษ มีวิธีง่ายๆ แต่ได้ผลทุกครั้ง คือ การนับ 1…2..3 ถ้าไม่หยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พ่อแม่ จะลงโทษลูกแล้วนะ ครั้งหลังๆ ถ้าลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอีก พ่อแม่ เพียงแค่นับ 1..2.. ไม่ทันถึง 3 ลูกก็หยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทันที
4. ทำโทษด้วยการตี
วิธีนี้เป็นวิธีสุดท้าย หากหลีกเลี่ยงได้ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากวิธีนี้ หากมีเหตุผลไม่เพียงพอหรือทำไปด้วยอารมณ์โกรธ ผลที่ได้จะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี

ดังนั้น การตีลูกจะต้องคำนึงถึงหลักดังนี้

อย่าตีพร่ำเพรื่อ การตีลูกไม่จำเป็นต้องตีบ่อยๆ เพราะเด็กที่โดนตีบ่อย มีแนวโน้มที่จะเกเรและต่อต้านมากยิ่งขึ้น ดังนั้น พฤติกรรมบางอย่างที่สามารถแก้ไขได้ โดยไม่ต้องลงไม้ลงมือ เช่น การร้องไห้โวยวาย การปัสสาวะรดที่นอน ใช้การตักเตือนก็เพียงพอ

การตีแรงๆ หรือการตีโดยใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง จะทำให้ลูกรู้สึกหวาดกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้พ่อแม่ ดังนั้น พ่อแม่จึงต้องระมัดระวังอย่าใช้กำลังกับลูกมากเกินไป และควรจะตีเมื่อลูกทำผิดเรื่องเดิมเป็นครั้งที่สอง ทั้งๆ ที่พ่อแม่ได้ตักเตือนไปแล้ว จึงจะเป็นการตีที่สมเหตุสมผล

การใช้ไม้เรียว เข็มขัด หรือไม้แขวนเสื้อตีลูก จะเป็นการทำให้ลูกบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ ลูกจะรู้สึกหวาดกลัวและตื่นตระหนก สิ่งที่ตามมาคือลูกจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นความผิด แต่คิดว่าพ่อแม่ใช้กำลังกับเขา

อย่าตีลูกต่อหน้าคนอื่น การตีลูกต่อหน้าคนอื่นจะทำให้ลูกอับอายและเสียหน้า วิธีจัดการเมื่อลูกทำตัวไม่น่ารักขณะมีผู้อื่นอยู่ด้วย ให้พ่อแม่ใช้วิธีเตือนด้วยเสียงเข้มๆ ก่อน หากเขาไม่หยุดก็ให้พาลูกแยกออกไปสักพักแล้วค่อยลงโทษ


หน้าที่สำคัญของพ่อแม่ คือต้องอบรม สั่งสอนให้ลูกเป็นคนดีของสังคม มีหลากหลายวิธีที่สามารถงัดกลยุทธ์ออกมาใช้ พ่อแม่ควรพูดคุยกับลูกๆ ถึงกฎกติกา มารยาทการอยู่ร่วมกันในบ้าน เพราะบ้านเมืองยังต้องมีกฎหมาย บ้านของเราก็ควรมีกฎบ้าน พ่อแม่ลูกสามารถช่วยกันออกแบบกฎกติกา ภายในบ้าน หากใครละเลย หรือทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ควรมีบทลงโทษอย่างไร ถ้าลูกรักษากฎระเบียบได้ดี ก็อย่าลืมมีคำชม เป็นรางวัล สำหรับลูกๆ

การที่ลูกๆ ร่วมออกความคิดเห็น ออกแบบกฎกติกา บทลงโทษ จะทำให้ลูกๆ เคารพในกฎเกณฑ์ที่พวกเขาช่วยกันตั้งขึ้นมา ลูกๆ อาจจะช่วยกันคิดบทลงโทษ ที่เป็นประโยชน์ เช่น ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน การคัดลายมือ การอ่านหนังสือ เป็นต้น นับเป็นสื่อสายสัมพันธ์ในครอบครัว และวางรากฐานจิตใจของลูกให้มั่นคงและมีคุณธรรม และระเบียบวินัย


 

การดูแลเด็กเล็ก ads

Most Reading