ads 728x90

ทำอย่างไรเมื่อเจ้าตัวเล็กชอบขว้างสิ่งของ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การขว้างสิ่งของเป็นสิ่งที่ลูกน้อยวัย 18 เดือนถึง 3 ขวบชอบทำค่ะ ซึ่งถือเป็นพัฒนาการปกติของเด็กวัยนี้เป็นการเรียนรู้  การปล่อยมือและการโยน ซึ่งต้องใช้ความสัมพันธ์ระหว่างมือและสายตาในการขว้างสิ่งของไปในทิศทางต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นการเรียนรู้ทางอ้อมเกี่ยวกับ ‘แรงดึงดูด’ ด้วยว่าเมื่อสิ่งของถูกขว้างออกไปก็มักจะตกลงสู่พื้นเสมอ

Roni Leiderman รองคณบดีสถาบันครอบครัวของมหาวิทยาลัย Nova Southeastern ในฟลอริด้าให้คำแนะนำว่า หากการขว้างสิ่งของของลูกน้อยไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายอะไร เช่นไม่ได้ทำให้กระจกแตก หรือไม่ได้ทำให้ใคร ได้รับบาดเจ็บ ก็ไม่ควรทำโทษลูกน้อยค่ะ แต่ควรสอนให้เค้ารู้จักขอบเขตว่าอะไรที่สามารถขว้างได้และที่ไหน  ที่สามารถทำได้ โดยมีเกร็ดเล็กๆน้อยๆสำหรับคุณแม่ที่ลูกน้อยชอบขว้างสิ่งของดังนี้

สอนให้ลูกรู้ว่าอะไรที่สามารถขว้างได้และอะไรที่ห้ามขว้าง เช่น ให้ลูกเข้าใจว่าลูกบอล (ควรเป็นลูกบอลโฟมหรือ ลูกบอลสำหรับเด็กที่เมื่อขว้างแล้วไม่ทำให้เกิดอันตรายนะคะ) สามารถขว้างได้ โดยคุณพ่อคุณแม่ควรมีส่วนร่วม  ในการเล่นโยนลูกบอลกับลูกด้วย อาจเป็นการเล่นเกมกับลูก เช่น เกมโยนลูกบอลลงตะกร้า โยนก้อนหินลงในบ่อน้ำ แต่เมื่อลูกเริ่มขว้างสิ่งของที่ไม่ควรขว้าง เช่น รองเท้า กางเกงเด็ก หรือของใช้อย่างอื่น คุณพ่อคุณแม่ต้องห้ามลูกด้วยน้ำเสียง และท่าทางที่ใจเย็นนะคะ จากนั้นหยิบยื่นของที่ ‘อนุญาต’ ให้ขว้างได้ (เช่นลูกบอล) มาให้แทนและต้องสอนลูกน้อย ไปพร้อมๆกัน เช่น ‘ห้ามขว้างรองเท้าจ้ะ แต่ลูกบอลขว้างได้จ้ะ’ แล้วลูกน้อยจะค่อยๆทำความเข้าใจว่าสิ่งไหนขว้างได้ และสิ่งไหนขว้างไม่ได้เองค่ะ


สอนลูกน้อยไม่ให้มีพฤติกรรมความก้าวร้าว ในขณะที่กำลังเล่นอยู่นั้นหากเห็นว่าลูกน้อยเริ่มขว้างของใส่เด็กคนอื่นๆ คุณแม่ต้องรีบห้ามในทันที “ไม่ได้นะคะ อย่างนั้นเพื่อนเจ็บ” และทำโทษลูกด้วยการแยกลูกน้อยออกมาให้นั่งนิ่งๆ 30 วินาทีเพื่อให้รู้ว่าเค้าทำผิดและกำลังถูกลงโทษ (การทำโทษให้อยู่นิ่งๆในเวลาที่กำหนดสำหรับเด็กในวัยนี้ไม่ควรเกิน 1 นาทีค่ะ เพราะหากเกินกว่านั้นเด็กอาจจะจำไม่ได้ว่าเค้าทำอะไรผิด) นอกจากนี้หากคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกขว้างสิ่งของ

เมื่อมีอารมณ์โกรธ คุณแม่ควรสอนลูกน้อยให้ ‘พูด’ เมื่อรู้สึกโกรธหรือไม่พอใจแทนการแสดงออกด้วยการขว้างสิ่งของบอกให้เค้ารู้ว่าสามารถที่จะมีอารมณ์โกรธได้แต่ไม่ควรขว้างสิ่งของ เช่น “ถ้าน้องเอโกรธให้บอกคุณแม่นะคะ อย่าขว้างของ” ซึ่งคุณแม่ต้องสอนลูกด้วยน้ำเสียงและอารมณ์ที่ใจเย็น ไม่ควรตีลูก แต่ควรสอนด้วยเหตุผลให้เค้าเข้าใจค่ะ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการแก้ไขพฤติกรรมนี้ ดังนั้นคุณแม่ควรอยู่ใกล้ชิดกับลูกในขณะที่เค้าเล่นค่ะ

สำหรับของเล่นของลูกเมื่อลูกอยู่ในรถเข็นนั้น อาจจะใช้วิธีแขวนของเล่นไว้กับรถเข็นเด็กของลูกด้วยเชือกสั้นๆในระยะที่ลูกเอื้อมถึง เมื่อลูกขว้างออกไปมันจะกลับมาที่เดิม นอกจากจะช่วยให้ลูกน้อยรู้ว่าของที่ผูกเชือกนั้นเมื่อขว้างออกไปมันสามารถกลับมาได้เอง ยังทำให้เค้ารู้สึกสนุก และคุณแม่ไม่ต้องคอยตามเก็บอีกด้วยค่ะ

การให้ลูกเก็บของทุกอย่างที่เค้าขว้างหรือโยนออกไปคนเดียวนั้นอาจเป็นงานที่หนักไปสำหรับเด็กวัยนี้ ดังนั้นจึงควรทำช่วงเวลาที่คุณแม่และลูกน้อยช่วยกันเก็บของให้เป็นเรื่องน่าสนุกโดยอาจใช้คำพูดที่ดึงดูดความสนใจ เช่น “มาดูซิว่าเราจะช่วยกันเก็บตุ๊กตาได้เร็วแค่ไหน” หรือ “น้องเอหาลูกบอลเจอมั๊ยคะ ลูกบอลอยู่ไหนนะ” เป็นต้น

ในเวลากินอาหารคุณแม่ก็ควรอยู่ใกล้ชิดกับลูกน้อยนะคะ ลูกน้อยอาจจะกินหรือหยิบอาหารด้วยมือได้ แต่เมื่อลูกจะขว้างจาน คุณแม่ก็ควรห้ามและจับมือลูกไว้ไม่ให้ขว้างออกไป ซึ่งการที่คุณแม่อยู่ใกล้ชิดลูกในเวลากินอาหารนั้น

นอกจากจะสามารถควบคุมพฤติกรรมลูกได้แล้ว ยังสามารถช่วยลูกได้ทันหากอาหารติดคอลูกน้อยอีกด้วยค่ะ คุณแม่บางคนอาจใช้ ‘จานติดโต๊ะ’ ซึ่งเป็นจานสำหรับเด็กซึ่งผลิตขึ้นมาเพื่อป้องกันการขว้างโดยเฉพาะ โดยจานจะมีฐานเป็นสูญญากาศดูดติดกับโต๊ะ ก็สามารถช่วยลดปัญหาได้เช่นกันค่ะ อย่างไรก็ตาม จานชามของลูกน้อยควรใช้ภาชนะที่เป็นพลาสติกหรือภาชนะที่ตกไม่แตกนะคะ เพราะการใช้จานชามที่แตกได้นั้นอาจทำให้เกิดอันตรายได้ค่ะ

ไม่ควรให้ลูกกินอาหารในปริมาณที่มากเกินไป (ยกเว้นกรณีที่คุณหมอสั่งให้ลูกน้อยกินมากกว่าปกตินะคะ) เพราะเมื่อลูกอิ่มและมีอาหารเหลือ ลูกก็จะเริ่มเล่นอาหารที่เหลืออยู่ค่ะ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าลูกน้อยกินอิ่มแล้ว ก็ควรเอาลูกน้อย

ไปจากเก้าอี้เด็กกินอาหารของเค้า เพื่อไม่ให้เค้าเล่นอาหารที่เหลืออยู่ (ถ้ามี) นั่นเองค่ะ

จาก nestlebaby.com

รับมืออย่างไรให้ได้ผล เมื่อเด็กชอบโกหก

คงเป็นเรื่องหนักใจไม่น้อย เมื่อครูที่โรงเรียนบอกว่า ลูกมีพฤติกรรมชอบพูดโกหก ไม่ชอบพูดความจริง หรือไปที่ไหนใครๆ ก็หาว่าลูกเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ปัญหานี้ถ้ามองให้เป็นเรื่องเล็กก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าพฤติกรรมชอบโกหกสะท้อนถึงอาการป่วยทางจิตของลูก คงต้องรีบเยียวยา เพราะถ้าหากโตเป็นผู้ใหญ่ จนมีหน้าที่การงานที่ดี หรือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง แต่ยังไม่ทิ้งลายชอบเลี้ยงแกะ อาจส่งผลกระทบต่อตัวเด็ก สังคม และประเทศชาติได้


ในประเด็นการพูดโกหกของเด็กนั้น “นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล” จิตแพทย์ทั่วไปโรงพยาบาลมนารมย์ ให้ข้อมูลว่า ถ้าหากมองในแง่ดี การโกหกเป็นธรรมชาติของเด็ก เพราะโดยพื้นฐานทางจิตใจของเด็กนั้น จะไม่โหดร้ายเหมือนกับผู้ใหญ่ และการโกหกส่วนใหญ่อาจจะมีเหตุผลบางประการ เช่น เกรงว่าจะถูกทำโทษเมื่อทำผิด กลัวพ่อแม่จับได้จึงจำเป็นต้องโกหก

“ต้องพิจารณาถึงสาเหตุด้วยว่า เพราะอะไรเด็กถึงไม่ไว้ใจพ่อแม่ เวลาทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมลงไป ซึ่งพ่อแม่เองก็ไม่ควรมานั่งจับผิด หรือมีทัศนคติที่ไม่ดีใส่เด็ก ซึ่งการสร้างมาตรการลงโทษแบบแก้ไขที่ปลายเหตุ มักใช้ไม่ได้ผล เพราะเด็กจะถูกมองเป็นเด็กไม่ดี และมองตัวเองด้อยคุณค่าลงไปได้ และเมื่อโตขึ้น เด็กจะมีพฤติกรรมร่วมกับการโกหกอีกหลายอย่าง จนกลายเป็นเด็กมีปัญหาในที่สุด” จิตแพทย์กล่าว


ขณะที่ลูกวัยรุ่นเอง จิตแพทย์บอกว่า ปัญหาการโกหกส่วนใหญ่ มาจากการคบเพื่อน การมีกลุ่มเพื่อนที่อาจจะชักจูงไปทำกิจกรรมที่ไม่ค่อยถูกต้อง จึงพยายามหาวิธีการหลบหลีกด้วยการโกหก ซึ่งอาจจะจับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ดังนั้นสิ่งที่จะตามมาก็คือ อาจจะถูกตำหนิดุด่า จนในที่สุดพฤติกรรมเหล่านั้น แทนที่จะหายไป แต่กลับจะยิ่งถูกส่งเสริมให้รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการถูกตำหนิ จะทำให้สถานการณ์ของปัญหาการโกหกแย่ลง ลูกวัยรุ่นจะยิ่งหายจากครอบครัวมากขึ้น


นอกจากนี้เด็กที่มีความเจ็บป่วยทางด้านจิตเวช เช่น เด็กที่มีปัญหาเรื่องสติปัญญาบกพร่อง มีปัญหาเรื่องภาษา เด็กที่ป่วยเป็นโรคจิต ซึ่งบางครั้งดูเหมือนพูดเรื่องที่ไม่จริง ตามความคิดที่เกิดขึ้นในโลกส่วนตัวจากการที่มีสติปัญญาบกพร่องอยู่แล้ว หรือเด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า อาจจะไม่ได้แสดงออกทางอารมณ์ แต่จะมาแสดงออกทางพฤติกรรม เช่น พูดโกหก หนีเรียน ลักขโมย เป็นต้น


อย่างไรก็ดี “นพ.กัมปนาท” ได้ให้ข้อแนะนำกับพ่อแม่ผู้ปกครองถึงการช่วยลูกไม่ให้เป็นเด็กเลี้ยงแกะ ไว้ดังนี้

1. พ่อแม่ควรสร้างความไว้วางใจกับลูก เพื่อเวลาที่ลูกทำผิด หรือ ทำสิ่งไม่ดีลงไป ลูกจะได้ปรึกษา แทนที่ลูกจะกลัวความผิด และใช้วิธีการโกหก

2. ไม่ควรตำหนิ หรือ ดุด่าลูกเมื่อลูกทำความผิด แต่ควรใช้เหตุผลพูดคุยกัน เพราะบางทีการที่เด็กถูกตำหนิ อาจจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมชอบโกหก และบางครั้งพฤติกรรมเหล่านั้นก็อาจจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น

3. ไม่ควรจับผิดลูกมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษ เช่น บางครั้ง ลูกกลับบ้านดึก แม่ก็จะคอยซักถาม จับผิดว่า "ลูกไปไหนมา ไปทำอะไร" ซึ่งบางทีลูกอาจจะแค่ไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อน แต่การที่พ่อแม่ซักถามเหมือนไม่ไว้ใจลูก และไต่สวนเหมือนเป็นผู้กระทำความผิด เด็กอาจจะใช้วิธีการโกหก เพื่อให้พ่อแม่หยุดซักถาม เพื่อหลบหลีกสถานการณ์ต่างๆ

4. หลีกเลี่ยงการลงโทษเมื่อลูกทำผิดหรือจับโกหกได้ เพราะยังมีทางออกที่ดีกว่าวิธีการลงโทษ เช่น พูดจาเพื่อทำความเข้าใจ เพราะการลงโทษ เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ ส่วนสาเหตุที่แท้จริงอาจเกิดจากเหตุผลบางประการของลูกซึ่งจะต้องทำการพูดคุยกัน ซึ่งถ้าหากเด็กทำผิดแล้ว กลัวการถูกทำโทษ เด็กอาจใช้วิธีการโกหกเพื่อให้พ้นความผิดก็ได้ หากปล่อยไว้นานๆ ก็จะเริ่มติดเป็นนิสัยไปจนโต

5. พยายามสังเกตว่าลูกมีอาการป่วยทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า บกพร่องทางสติปัญญา หรือมีปัญหาเรื่องภาษาหรือไม่ และควรทำความเข้าใจกับเด็กเหล่านี้ ซึ่งบางที่การที่เด็กโกหกอาจไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นเพียงเพราอาการป่วย ทางที่ดีควรรีบพบจิตแพทย์เพื่อทำการรักษาอาการทางจิตเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นอาจส่งผลเสียต่อเด็ก เช่น คิดฆ่าตัวตาย เป็นต้น


ก่อนที่ลูกจะกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ จนได้รับผลกระทบจากการโกหก พ่อแม่ควรจะเริ่มให้ความสนใจ และสร้างเกราะป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่ลูกจะกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะมืออาชีพ

จาก http://manarom.com/article-detail.php?id=32

ลงโทษด้วยการตีอาจทำลูกโตมาก้าวร้าว-สมองช้า

นักวิทยาศาสตร์พบว่าการลงโทษลูกอายุ 1 ขวบด้วยการตีนั้นจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและเรียนรู้ได้ช้าภายใน 2 ปีข้างหน้า ขณะที่การลงโทษด้วยการอบรมด้วยการดุนั้นจะไม่ก่อให้เกิดผลดังกล่าว

การศึกษาครั้งนี้มีจุดประสงค์ในการสืบหาว่าการเลี้ยงดูของแม่มีผลต่อพฤติกรรมที่ไม่ดีของเด็กอย่างไรบ้าง หรือเด็กจะมีความคิดท้าทายหรือไม่หลังจากที่โดนลงโทษด้วยวิธีรุนแรง โดยมีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยดูค, มิสซูรี่-โคลัมเบีย, เซาท์แคโรไลน่า, โคลัมเบีย, ฮาวาร์ด และนอร์ธแคโรไลน่าร่วมค้นหาคำตอบ

ในการศึกษาครั้งนี้ นักวิจัยได้หาข้อมูลจากแม่ 2,500 คน ทั้งคนขาว คนดำ คนละตินที่มีลูกเด็ก โดยได้เข้าไปสัมภาษณ์และสังเกตพฤติกรรมถึงบ้านเลยในช่วงที่เด็กอายุได้ 1 ปี 2 ปี และ 3 ปีนี้ โดยอาสาสมัครทุกคนมีฐานะอยู่ในระดับยากจน เพราะนักวิจัยเชื่อว่าพ่อแม่ที่ยากจนมักจะลงโทษด้วยวิธีการตีมากกว่าพ่อแม่ที่มีฐานะปานกลางหรือร่ำรวย

นักวิจัยได้สัมภาษณ์แม่ทุกคนว่าบ่อยแค่ไหนที่ทุกคนในบ้านจะลงโทษด้วยวิธีการตีเด็กในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ โดยนักวิจัยยังได้สังเกตด้วยว่าแม่จะลงโทษด้วยการดุลูกบ่อยหรือไม่ในช่วงที่ไปเยี่ยมบ้านนี้

จากการศึกษาพบว่าเด็กผิวดำมักจะถูกตีและดุมากกว่าเด็กกลุ่มอื่น อาจจะเนื่องด้วยปัจจัยทางวัฒนธรรม เช่นเชื่อว่าการที่เด็กต้องให้ความเคารพผู้ใหญ่เป็นเรื่องสำคัญ และเชื่อในเรื่องของการลงโทษแบบลงไม้ลงมือจะทำให้เด็กเคารพผู้ใหญ่ได้ นอกจากนั้นแล้ว แม่ผิวดำบางคนยังบอกด้วยว่าเคยลงโทษด้ววิธีการรุนแรง อันตราย หรือขังอยู่ในห้องเล็กๆ กรณีที่ลูกไม่เชื่อฟังหรือดื้อมากๆ

นักวิจัยจึงได้สรุปผลกระทบของการลงโทษต่อพฤติกรรมของเด็กไว้ดังนี้

“การค้นพบของเราแสดงให้เห็นว่าการตีนั้นมีผลต่อพัฒนาการของเด็ก” ลิซ่า เจ. เบอร์ลิน นักวิทยาศาสตร์แห่งศูนย์สำหรับนโยบายเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยดูค หัวหน้าทีมวิจัยเปิดเผย

“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กที่ถูกตีบ่อยๆเมื่อครั้งที่อายุได้แค่ 1 ปีนั้นจะมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวเมื่อโตมาได้จนอายุ 2 ปี และก็จะทำคะแนนบททดสอบทางความคิดได้น้อยกว่าคนอื่นเมื่ออายุได้ 3 ปี”

“หรือแม้แต่นำปัจจัยเรื่องอื่นมาวิเคราะห์เช่น อายุ เชื้อชาย การศึกษาของแม่ รายได้และโครงสร้างครอบครัว และเพศของเด็กนั้นพบว่าผลที่ออกมาก็ไม่มีอะไรต่างจากเดิมนัก”

“นอกจากนั้น เรายังสรุปได้ว่าเด็กที่ก้าวร้าวมากขึ้นเมื่ออายุได้ 2 ปีและมีการเรียนรู้ที่ช้าในช่วงอายุ 1-2 ปีมักจะไม่ถูกลงโทษเท่าไหร่เมื่อช่วงอายุ 2-3 ปี ฉะนั้น พฤติกรรมของแม่จึงน่าจะมีผลมากกว่าพฤติกรรมของลูกนะ”

ขณะเดียวกัน การลงโทษด้วยการดุนั้นไม่ได้มีผลต่อพฤติกรรมก้าวร้าวหรือการเรียนรู้ที่ช้าของเด็กแต่อย่างใด แต่น่าสนใจตรงที่ว่าหากดุแล้วได้รับกำลังใจจากแม่ในภายหลัง เด็กก็จะทำคะแนนบททดสอบทางความคิดได้ดีมากขึ้นอีกด้วย

จาก วิชาการ.com

4 วิธีทำโทษลูกอย่างมีเหตุผล ลงโทษลูกทีไร คนเสียใจคือ พ่อแม่ ทุกที

ลงโทษลูกทีไร … คนเสียใจคือพ่อแม่ ทุกที!


“รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี “ แต่คนที่เสียใจทำไมต้องเป็นพ่อแม่ ?
ในกระดานเวบบอร์ด ของสมาคมคุณแม่ยุค social network มักมีคำถามที่ระบายความในใจว่า “แม่ๆ เคยฟิวส์ขาด ตีลูก ด้วยความโมโหบ้างไหม”
“เหนื่อยใจที่ลูกดื้อ/ซนและเสียใจที่ตีลูก”
“เมื่อคืนเสียใจร้องไห้อย่างหนัก ที่ตีลูก”

บ่อยครั้ง ที่ได้ยินได้ฟังเสียงคร่ำครวญเสียอกเสียใจจาก พ่อแม่หลายท่านที่พลั้งมือลงโทษลูกน้อยแบบไม่มีเหตุผล ลูกอาจจะแค่เจ็บตัว เสียใจบ้าง แต่คนที่รู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าก็คือ พ่อแม่ นี่เอง สุภาษิตไทยที่ว่า “รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี” มักจะใช้กันตั้งแต่โบร่ำโบราณ และก็สามารถสร้างคนให้เป็นเจ้าคนนายคนมานักต่อนัก แต่การเลี้ยงดูลูกๆในยุค ไซเบอร์ มักทำให้พ่อแม่หลายคน ไม่มั่นใจในการเลี้ยงดู อบรม สั่งสอน ลูกๆ จะตีก็ไม่ได้ เข้มงวดเกินไปก็ไม่ดี ประเดี๋ยวลูกจะเครียด หรือปล่อยปละละเลยตามใจมากจนเคยตัว อาจสร้างสังคมเด็กสปอยเกลื่อนเมือง

ต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าทำไม พ่อแม่ ต้องลงโทษลูก
พ่อแม่เป็นผู้ดูแลอบรมสั่งสอนลูก ถ้าลูกไม่เชื่อฟังย่อมต้องถูกลงโทษ การไม่ลงโทษเมื่อลูกกระทำผิด เท่ากับเป็นการให้ร้ายลูก การปล่อยให้ลูกกระทำผิดต่อไปเรื่อยๆ วันหนึ่งจะกลายเป็นนิสัยของเขา ซึ่งไม่มีใครแก้ไขได้ ครอบครัวบางครอบครัวที่เลี้ยงลูกอย่างตามใจมาตลอด ไม่เคยลงโทษลูกอย่างถูกต้อง เมื่อเด็กเติบโตขึ้นก็จะมีแนวโน้มเอาแต่ใจตัวเอง กลายเป็นเด็กที่มีนิสัยไม่ดี และเมื่อโตขึ้นก็จะทำผิดต่อกฎระเบียบของสังคม ดังนั้นการลงโทษเมื่อลูกกระทำผิดจึงเป็นสิ่งจำเป็น พ่อแม่ที่รักลูกไม่อาจปล่อยปละละเลยได้

พ่อแม่ไม่สามารถลงโทษลูกตามอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้ เช่น วันนี้อารมณ์ดี เมื่อลูกทำผิดก็ไม่ลงโทษ แต่วันใดที่อารมณ์ไม่ดี แม้ลูกไม่ทำผิดก็ดุว่าลูก การกระทำเช่นนี้จะทำให้เด็กไม่สามารถเรียนรู้ว่า สิ่งใดถูกสิ่งใดผิด และอาจทำให้เด็กรู้สึกบาดเจ็บในจิตใจต่อการกระทำของพ่อแม่ได้

4 วิธีทำโทษลูกอย่างมีเหตุผล

1. Time out
เมื่อลูกทำผิดให้พาไปในที่เงียบ ๆ ไม่มีสิ่งดึงดูดความสนใจ เพื่อให้เขาได้ทบทวนการกระทำของตัวเอง โดยระยะเวลาอาจขึ้นอยู่กับอายุของลูก เช่น 1 นาทีต่อ 1 ขวบ หรือจนกว่าลูกจะสงบสติอารมณ์ลงได้ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ลูกรู้จักควบคุมตัวเองได้ดี และยอมรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น เป็นวิธีการลงโทษทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ใช้ได้ผลดีกับเด็กอายุระหว่าง 2-4 ขวบ ซึ่งเด็กในวัยนี้จะมีการตอบสนองต่อการกระทำมากกว่าคำพูด
ทุกครั้งที่คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจที่จะทำโทษลูกด้วยวิธีนี้ จะต้องทำใจให้หนักแน่นไม่โอนอ่อนหรือสงสารลูก มิฉะนั้นแล้ว การทำโทษครั้งต่อไปจะไม่เป็นผลอีกเลย สำหรับเด็กโตที่ยังดื้อดึง กับการลงโทษด้วยวิธีนี้ พ่อแม่ ควรอบรมลูกให้ทราบว่า ทำไมจึงถูกทำโทษ และควรบอกว่าจะประพฤติอย่างไรให้เหมาะสม ซึ่งการบอกกล่าวจะช่วยให้ลูกได้คิดพิจารณาถึงความประพฤติที่ไม่ดีของตนเอง

2. สอนและตักเตือนด้วยวาจา
ไม่ใช้การบ่นหรือการดุด่า แต่เป็นการบอกให้ลูกทราบถึงเหตุและผลว่า สิ่งที่ทำไม่ถูกต้องอย่างไรและแนะนำสิ่งที่ถูกที่ลูกควรทำควรเป็นอย่างไร อาจใช้น้ำเสียงที่เรียบ ๆ แต่หนักแน่นจริงจัง เพื่อให้ลูกรู้ว่าพฤติกรรมนั้นไม่เหมาะสมสมควรได้รับการแก้ไข และที่พ่อแม่เตือนก็เพราะไม่อยากเห็นลูกทำผิดไม่ใช่เพราะโกรธหรือไม่รัก ถ้าเป็นเด็กเล็กควรอธิบายสั้นๆ ถ้าเด็กโตหรือวัยรุ่น สามารถแลกเปลี่ยนเหตุผลกับลูกได้ พ่อแม่เองก็สามารถจะเข้าใจและเหตุผลที่ลูกกระทำ ลูกเองก็จะได้เข้าใจในมุมมองของพ่อแม่

3. ส่งสัญญาณเตือนก่อน
หากลูกมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม พ่อแม่ ต้องส่งสัญญาณเตือนให้ลูกหยุดพฤติกรรมดังกล่าว ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องมีการจัดการกับพฤติกรรมของเขา โดยการเตือน อาจใช้น้ำเสียงที่เข้มขึ้นทั้งนี้ เพื่อให้ลูกรับรู้ถึงสัญญาณอันตรายที่ซ่อนอยู่ ทำให้ลูกมีโอกาสแก้ตัวหรือเตรียมตัวเตรียมใจหากต้องถูกลงโทษ มีวิธีง่ายๆ แต่ได้ผลทุกครั้ง คือ การนับ 1…2..3 ถ้าไม่หยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พ่อแม่ จะลงโทษลูกแล้วนะ ครั้งหลังๆ ถ้าลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอีก พ่อแม่ เพียงแค่นับ 1..2.. ไม่ทันถึง 3 ลูกก็หยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทันที
4. ทำโทษด้วยการตี
วิธีนี้เป็นวิธีสุดท้าย หากหลีกเลี่ยงได้ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากวิธีนี้ หากมีเหตุผลไม่เพียงพอหรือทำไปด้วยอารมณ์โกรธ ผลที่ได้จะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี

ดังนั้น การตีลูกจะต้องคำนึงถึงหลักดังนี้

อย่าตีพร่ำเพรื่อ การตีลูกไม่จำเป็นต้องตีบ่อยๆ เพราะเด็กที่โดนตีบ่อย มีแนวโน้มที่จะเกเรและต่อต้านมากยิ่งขึ้น ดังนั้น พฤติกรรมบางอย่างที่สามารถแก้ไขได้ โดยไม่ต้องลงไม้ลงมือ เช่น การร้องไห้โวยวาย การปัสสาวะรดที่นอน ใช้การตักเตือนก็เพียงพอ

การตีแรงๆ หรือการตีโดยใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง จะทำให้ลูกรู้สึกหวาดกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้พ่อแม่ ดังนั้น พ่อแม่จึงต้องระมัดระวังอย่าใช้กำลังกับลูกมากเกินไป และควรจะตีเมื่อลูกทำผิดเรื่องเดิมเป็นครั้งที่สอง ทั้งๆ ที่พ่อแม่ได้ตักเตือนไปแล้ว จึงจะเป็นการตีที่สมเหตุสมผล

การใช้ไม้เรียว เข็มขัด หรือไม้แขวนเสื้อตีลูก จะเป็นการทำให้ลูกบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ ลูกจะรู้สึกหวาดกลัวและตื่นตระหนก สิ่งที่ตามมาคือลูกจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นความผิด แต่คิดว่าพ่อแม่ใช้กำลังกับเขา

อย่าตีลูกต่อหน้าคนอื่น การตีลูกต่อหน้าคนอื่นจะทำให้ลูกอับอายและเสียหน้า วิธีจัดการเมื่อลูกทำตัวไม่น่ารักขณะมีผู้อื่นอยู่ด้วย ให้พ่อแม่ใช้วิธีเตือนด้วยเสียงเข้มๆ ก่อน หากเขาไม่หยุดก็ให้พาลูกแยกออกไปสักพักแล้วค่อยลงโทษ


หน้าที่สำคัญของพ่อแม่ คือต้องอบรม สั่งสอนให้ลูกเป็นคนดีของสังคม มีหลากหลายวิธีที่สามารถงัดกลยุทธ์ออกมาใช้ พ่อแม่ควรพูดคุยกับลูกๆ ถึงกฎกติกา มารยาทการอยู่ร่วมกันในบ้าน เพราะบ้านเมืองยังต้องมีกฎหมาย บ้านของเราก็ควรมีกฎบ้าน พ่อแม่ลูกสามารถช่วยกันออกแบบกฎกติกา ภายในบ้าน หากใครละเลย หรือทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ควรมีบทลงโทษอย่างไร ถ้าลูกรักษากฎระเบียบได้ดี ก็อย่าลืมมีคำชม เป็นรางวัล สำหรับลูกๆ

การที่ลูกๆ ร่วมออกความคิดเห็น ออกแบบกฎกติกา บทลงโทษ จะทำให้ลูกๆ เคารพในกฎเกณฑ์ที่พวกเขาช่วยกันตั้งขึ้นมา ลูกๆ อาจจะช่วยกันคิดบทลงโทษ ที่เป็นประโยชน์ เช่น ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน การคัดลายมือ การอ่านหนังสือ เป็นต้น นับเป็นสื่อสายสัมพันธ์ในครอบครัว และวางรากฐานจิตใจของลูกให้มั่นคงและมีคุณธรรม และระเบียบวินัย


รู้จักโรคเท้าปุก ความผิดปกติของเท้าลูก

โรคเท้าปุก  (Clubfoot) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หมายถึง เท้าที่พิการมีรูปดังกำปั้น ในทางการแพทย์ เท้าปุก หมายถึง เป็นความผิดรูปของเท้าแต่กำเนิดชนิดหนึ่ง อาจเกิดกับเท้าข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้างก็ได้ เกิดขึ้นในเด็กที่ไม่มีความผิดปกติอื่นๆ


โรคเท้าปุก 


ต้องการการรักษาเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้ และอย่างถูกต้องด้วยวิธีที่ไม่ใช่การผ่าตัด
มิฉะนั้นเด็กจะมีความพิการอย่างมากทำให้ต้องเดินด้วยหลังเท้าหรือปลายเท้า ปวดเท้า ใส่รองเท้าไม่ได้ และไม่สามารถประกอบอาชีพได้เหมือนอย่างคนอื่นๆ (รูป 2)
สถิติของทั่วโลกพบอุบัติการณ์ของโรคเท้าปุกในทารกแรกเกิดประมาณ 1:1,000 ถึง 1:1,500 คน ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคนี้ หรือมีลูกที่เป็นโรคนี้ โอกาสที่จะมีลูกคนแรกหรือคนต่อไปเป็นโรคนี้ จะสูงกว่านี้เล็กน้อย


พ่อแม่ของเด็กทารกที่เป็นเท้าปุก (Clubfoot) ควรได้รับการเน้นย้ำจากแพทย์ว่า ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ เด็กจะหายกลับมามีเท้าที่ปกติ สามารถใช้งานได้เช่นเท้าปกติทั่วไป ไม่เป็นปมด้อยของเด็กอีกต่อไป (รูป 3)

โรคเท้าปุกเกิดได้อย่างไร? มีปัจจัยเสี่ยงไหม?
นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ยังไม่ทราบว่า เท้าปุกที่พบในเด็กที่ร่างกายส่วนอื่นปกติและเป็นตั้งแต่กำเนิด มีสาเหตุมาจากอะไร ปัจจัยเสี่ยงคงเป็นเรื่องที่ว่าถ้าพ่อหรือแม่เด็กเป็นเท้าปุก หรือเคยมีลูกที่เป็นเท้าปุก ลูกที่จะคลอดออกมาก็มีความเสี่ยงในการเป็นเท้าปุกมากกว่ากรณีพ่อแม่ที่ไม่เป็น แต่ในประสบการณ์ร่วม 20 ปีของผู้เขียนในการรักษาโรคเท้าปุก ความเสี่ยงนี้มีต่ำมากจนไม่ควรต้องกังวลถ้าคุณอยากมีลูก



โรคเท้าปุกมีอาการอย่างไร?
โรคเท้าปุกไม่มีอาการอะไร เพียงมีรูปเท้าที่บิดเบี้ยวจนดูเหมือนไม้ตีกอล์ฟ ซึ่งถ้าไม่รัก ษาจะทำให้พิการ ไม่สามารถใช้เท้าเดินได้เหมือนเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ปกติ และจะพัฒนาจนมีอา การเจ็บปวดเมื่อโตขึ้น เพราะเกิดการสึกหรอของกระดูกและข้อต่อที่บิดเบี้ยว หรือผิวหนังเท้าส่วนที่หนาตัวขึ้นเพื่อรับน้ำหนัก เกิดเป็นแผลเรื้อรังขึ้นมา



แพทย์วินิจฉัยโรคเท้าปุกได้อย่างไร?
การวินิจฉัยโรคเท้าปุกโดย ใช้เพียงการสอบถามประวัติทางการแพทย์ต่างๆของเด็ก และของบิดามารดา ตรวจร่างกายและการตรวจดูลักษณะเท้าของเด็ก การถ่ายภาพ x-ray จึงไม่จำเป็น ซึ่งการตรวจร่างกายเด็กโดยละเอียด ทำเพื่อดูว่ามีโรคอื่นๆร่วมด้วยหรือไม่


โรคเท้าปุกมีกี่ชนิด?
เท้าที่บิดเบี้ยวจนดูคล้ายไม้ตีกอล์ฟ มีหลายชนิด แบ่งชนิดตามสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้ดังนี้
  • เท้าปุกที่เป็นแต่กำเนิด ที่ไม่พบสาเหตุหรือยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุ (Congenital idiopathic clubfoot)
  • เท้าปุกที่เป็นแต่กำเนิดที่มีสาเหตุที่อธิบายได้ (Teratologic clubfoot)
  • เท้าที่ผิดรูปจนดูเหมือนเท้าปุกแต่ไม่ได้เป็นตั้งแต่กำเนิด (Clubfoot-like deformity)
    • เกิดจากโรคความพิการทางสมอง (Equinovarus foot in Cerebral Palsy)
    • เกิดจากเส้นประสาทคอมมอนเพอโรเนี่ยวขาด (Equinovarus foot from common peroneal nerve injury)
    • เกิดจากสาเหตุอื่นๆ
อนึ่ง โรคเท้าปุกที่จะพูดถึงในที่นี้ เป็นเท้าปุกประเภทที่ 1 เท่านั้น ซึ่งคือ โรคเท้าปุกที่เป็นแต่กำเนิดที่ไม่พบสาเหตุหรือยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุ (Congenital idiopathic clubfoot)


โรคเท้าปุกมีวิธีรักษาอย่างไร? รักษานานแค่ไหน?
เท้าปุก ส่วนใหญ่จะมีรูปร่างกลับมาเป็นปกติ ภายหลังจากได้รับการดัดเท้าและเข้าเฝือกด้วยวิธีพอนเซตี้/Ponseti method (รูป 4) ในเวลาเพียง 6-8 สัปดาห์ การรักษาอาศัยเพียงความเข้าใจเกี่ยวกับ
  • กายวิภาค
  • ความสัมพันธ์ของกระดูกของเท้าในการเคลื่อนไหวของกระดูกเท้า
  • รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการตอบสนองของตัวกระดูก เอ็น และกล้ามเนื้อ ต่อการดัดเท้าแบบค่อยเป็นค่อยไป


ในจำนวนผู้ป่วยเท้าปุกทั้งหมด มีไม่ถึง 5% ที่มีความรุนแรงมากจนการดัดเท้าไม่ได้ผลสมบูรณ์ และต้องรักษาต่อด้วยการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดควรทำเมื่อการดัดเท้าไม่ได้ ผลเท่านั้น



เด็กที่เป็นเท้าปุก ควรได้รับการรักษาภายใน 2-3 อาทิตย์แรกหลังคลอด อาศัยความได้ เปรียบในขณะที่เนื้อเยื่อของ เอ็นข้อ/เอ็นกระดูก เอ็นกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อหุ้มข้อ ยังพอมีความยืดหยุ่นอยู่ ด้วยการดัดที่ถูกต้องทุกๆอาทิตย์ ซึ่งเนื้อเยื่อเหล่านี้จะค่อยๆยืดออก ภายหลังการดัดแต่ละครั้ง เท้าจะได้รับการเข้าเฝือกจากปลายเท้าจนถึงโคนขาในท่าที่เข่างอ 90 องศา เพื่อบังคับเท้าให้อยู่ในท่าที่ดัดได้ ดังนั้น เท้าจะค่อยๆถูกดัดให้เป็นปกติในที่สุด


โดยทั่วไปจะใช้เฝือกเพียง 5-7 อัน แม้แต่เท้าปุกที่เป็นมากๆ ก็ใช้เฝือกไม่เกิน 8-9 อัน ก่อนใส่เฝือกอันสุดท้าย เด็กจะได้รับการตัดเอ็นร้อยหวาย (รูป 5) เพื่อทำให้ข้อเท้ากระดกขึ้น เฝือกอันสุดท้ายจะใส่อยู่ 3-4 สัปดาห์ เพื่อให้เอ็นที่ถูกตัดติดกันในท่าที่ยืดยาวขึ้น


หลังจากเด็กหายแล้ว เด็กที่เคยมีเท้าปุก อาจกลับเป็นใหม่ได้ เพราะฉะนั้น หลังสิ้นสุดการเข้าเฝือก จะต้องใส่กายอุปกรณ์เท้า (Abduction foot orthosis) (รูป 6) ทั้งวันทั้งคืน 2-3 เดือน และใส่เฉพาะกลางคืนหรือเวลานอนอีก 4 ปี ก็จะหายเป็นปกติหรือเกือบปกติ สามารถดำ เนินชีวิตและเล่นกีฬาได้เหมือนเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ปกติทั่วๆไป
ในผู้ป่วยบางรายที่รักษาหายแล้ว อาจมีความไม่สมดุลของเอ็นในการดึงเท้า ทำให้ดูเหมือนว่าเท้ายังผิดรูปอยู่ อาจมีการผ่าตัดเพื่อย้ายเอ็นให้มีแนวดึงที่ตรงขึ้น (Tibialis Anterior transfer)


จากรายงานต่างๆที่บอกว่า การรักษาโรคเท้าปุก ด้วยการดัดและการเข้าเฝือกไม่ได้ผล อาจจากวิธีการเหล่านั้นมีปัญหาทางด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับ กายวิภาค และการเคลื่อนไหวของเท้า ส่วนการผ่าตัดในรายที่การดัดและเข้าเฝือกไม่ได้ผล ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการผ่าตัดรักษาโรคนี้เท่านั้น


โรคเท้าปุกรักษาหายไหม?
ในปัจจุบันโรคนี้ สามารถรักษาให้หายจนปกติหรือเกือบปกติได้โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดใหญ่เลย ขอเพียงแต่ ได้รับการรักษากับแพทย์ที่ได้ฝึกฝนการรักษาด้วยวิธีพอนเซตี้เท่านั้น การรักษาด้วยการผ่าตัดที่เคยเป็นที่นิยมในอดีตได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ถ้าแพทย์ที่รักษาลูกท่านแนะนำให้ผ่าตัดใหญ่ ได้โปรดปรึกษาแพทย์ที่สามารถรักษาด้วยการดัดและเข้าเฝือกโดยวิธีพอนเซตี้เสียก่อน


เมื่อไรจึงควรพบแพทย์เพื่อรักษาโรคเท้าปุก?
เมื่อท่านมีบุตรหรือญาติพี่น้องหรือคนรู้จัก คนข้างบ้าน ที่มีลูกหลานที่เป็นเท้าปุก ได้โปรดพามารักษากับแพทย์ออร์โธปิดิกส์เด็กที่ได้รับการฝึกฝนวิธีพอนเซตี้


สรุป

เด็กที่ครั้งหนึ่งในอดีต ต้องเป็นเด็กพิการแน่ๆเพราะเกิดมามีเท้าบิดเบี้ยวเหมือนไม้กอล์ฟ (โรคเท้าปุก) ปัจจุบันถ้าได้รับการรักษาด้วยวิธีพอนเซตี้ ก็สามารถหายจนเป็นปกติ สามารถประ กอบอาชีพและดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไปได้ ขอให้ท่านที่มีเด็กในครอบครัวที่เป็นโรคนี้ โปรดนำเด็กมาพบแพทย์โรคกระดูกเด็ก ที่ได้รับการอบรมวิธีรักษาด้วยวิธีพอนเซตี้

ที่มา haamor.com
โดย นพ.อำนวย จิระสิริกุล

เด็กยุคใหม่ต้องมี iphone

ลูกอยู่ประถมอยากได้ iPhone

คุณแม่ที่มีลูกวัยประถมคนไหนมีปัญหาแบบนี้กันบ้างคะ วันดีคืนดีเจ้าลูกตัวดีทำหน้าเจี๋ยมเจี่ยมเดินมาหา เราก็คิดว่ามามุกนี้ต้องทำอะไรผิดมาแน่ๆ สุดท้ายเอ่ยปากว่า “คุณแม่ขา หนูอยากได้ไอโฟน ซื้อให้หน่อยได้ไหมคะ”
แย่ล่ะ! แม่เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วเชียวว่าวันนี้จะมาถึง แต่ไม่คิดว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้ เพราะเห็นอยู่ว่าเพื่อนลูกหลายคนก็มี iPhone ใช้กัน เราอุตส่าห์ดีใจว่าลูกเราไม่เห็นอยากได้ แต่ไม่ทันไร มาขอแม่ซะแล้ว
ปัจจุบันเราคงไม่สามารถต้านทานกระแสเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สิ่งที่เราจะทำได้คือสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกให้มากที่สุด ถ้าคุณพ่อคุณแม่มั่นใจว่าที่ผ่านมาสอนลูกให้แบ่งเวลาเป็น มีวินัย ไม่ใช่เด็กฟุ่มเฟือย ก็ตอบกลับได้เลยค่ะว่า...

“ถ้าอยากได้ต้องเก็บตังค์ซื้อเองนะคะ ถ้าได้ครบแม่จะพาไปซื้อ” 
เงื่อนไขนี้มาพร้อมเทคนิคและวิธีสอนบางอย่าง ถ้าอยากรู้ว่าต้องทำอย่างไร เรามีมาฝากค่ะ

เรื่องการออมเป็นเรื่องที่ต้องปลูกฝังกันตั้งแต่เด็กๆ
• พอเริ่มเข้าโรงเรียนก็หากระปุกมาให้น้องได้ฝึกการออมให้ค่าขนมก็ต้องบอกว่าถ้าเหลือก็เอามาหยอด ถ้าได้เต็มกระปุกก็เอาออกมานับกัน และพาไปเปิดบัญชีเป็นชื่อเขา และค่อยๆ ให้เขาฝากเติมเข้าเรื่อยๆ
• ให้ค่าขนมลูกเป็นรายสัปดาห์ เพื่อลูกจะได้รู้จักการวางแผนการใช้เงินเป็น
• ช่วยเพิ่มเติมสมทบให้ ถ้าลูกออมได้ 100 บาท คุณแม่อาจเพิ่มให้อีก 100 บาท
• ให้รางวัลพิเศษกับลูก ถ้าลูกทำความดี หรือช่วยเหลืองาน แต่ไม่ควรใช้เงินล่อหลอกทุกอย่าง จนลูกทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน 

อยากใช้ต้องมีกฏ!
ถ้าซื้อสมาร์ทโฟนหรือโทรศัพท์มือถือให้ลูกใช้แล้ว อาจจะต้องกำหนดตั้งกฎการใช้งานกันไว้ค่ะ เช่น
• เกมหรือแอพพลิเคชั่น ต้องให้พ่อแม่ดาวน์โหลดให้เท่านั้น 
• ถ้าอยู่บ้าน ใช้ได้ถึงกี่โมง
• ห้ามให้เพื่อนหรือคนอื่นยืมไปเล่น

ถ้าพ่อแม่มีเวลาดูแลเอาใจใส่ลูกตลอด สมาร์ทโฟนก็เป็นตัวตัวเลือกที่มีประโยชน์ค่ะ เพราะนอกจากพวกแอพพลิเคชั่น หรือเกมที่เป็นพวกสื่อการสอนแล้ว แม่จะได้ใช้ GPS หาตำแหน่งพิกัดของลูกได้ ว่าตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหน ช่วยดูเรื่องความปลอดภัยได้ระดับหนึ่งค่ะ เรื่องนี้ใช้ได้ผลกับตัวพ่อมาแล้วค่ะ แม่ใช้ฟังก์ชั่นนี้กับพ่อ แหม! พ่อปลอดภัย ไม่เถลไถล กลับบ้านตรงเวลาเชียว
ตอนนี้มารอลุ้นเจ้าตัวดีกันค่ะ ว่าเขาจะเก็บเงินได้ครบเมื่อไหร่ แต่ก่อนจะซื้อก็คงจะต้องคุยกันอีกที เพราะสุดท้ายก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยเขาอยู่ดีค่ะ

โดย TMB The Better Family
จาก momypedia.com


การดูแลผิวพรรณในเด็ก โดย แพทย์หญิงฐิตาภรณ์

วันนี้เรามีเรื่องการกับการดูแลผิวพรรณในเด็กมากฝากเป็นบทความที่เขียนโดย แพทย์หญิงฐิตาภรณ์
จาก momypedia.com 

การดูแลผิวพรรณในเด็ก

สวัสดีคุณพ่อคุณแม่บ้าน Momypedia ค่ัะ

วันนี้หมอมีเรื่องการดูแลผิวน้องๆ มาฝากค่ะ เพราะแม้ว่าเราจะทราบกันว่าผิวลูกบอบบาง ต้องการการดูแลเป็นพิเศษต่างจากผิวของผู้ใหญ่อย่างเรา แต่พ่อแม่หลายคนก็ลืมและเผลอดูแลผิวลูกเหมือนเขาเป็นผู้ใหญ่ จนอาจะเกิดปัญหาผิวได้ 

ผิวหนังเปรียบเสมือนเกราะป้องกันที่ธรรมชาติสร้างขึ้น เพื่อคุ้มครองร่างกายให้ปลอดภัย ดังนั้นผิวหนังจึงเปรียบเสมือนกระจกเงาให้เห็นถึงสุขภาพของร่างกายด้วย ผิวพรรณของเบบี๋จะอ่อนบอบบางและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ


ความแตกต่างของผิวหนังทารกและผู้ใหญ่

เด็กแรกเกิด ผิวหนังจะปกคลุมด้วยไขเหนียวๆ สีเทาปนขาว (vernix caseosa) ซึ่งไขนี้เป็นส่วนประกอบ ของไขมันจากต่อมไขมันปนกับเซลล์ผิวหนังที่ลอกหลุดออกมาเพื่อทำหน้าที่ป้องกันและหล่อลื่นผิวหนัง


ผิวหนังทารกที่เกิดมาจะประกอบด้วยเซลล์ชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ และมีส่วนประกอบอื่นๆ ได้แก่ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ เหมือนกับผิวหนังผู้ใหญ่ แต่ผิวหนังทารกจะต้องบางกว่า และการทำงานของต่อมต่อมเหงื่อและต่อมไขมันยังทำงานไม่เต็มที่ ทำให้เด็กเล็กจะเกิดผดร้อนได้ง่ายกว่า การยึดติดกันของเซลล์ชั้นหนังแท้และหนังกำพร้ายังหนาแน่นทำให้เกิดตุ่มพองใสได้ง่ายกว่าในผู้ใหญ่ พื้นที่ผิวกายเมื่อเทียบต่อน้ำหนัก (body surface area) ของเด็กน้อยกว่าผู้ใหญ่มาก ทำให้การดูดซึมยาได้มากกว่า การใช้ยาในเด็กจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณแม่ต้องระวัง และไม่ซื้อยามาทาให้ลูกเองนะคะ เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงจากยาได้ง่ายค่ะ


เราต้องดูแลผิวหนังทารกอย่างไร

เนื่องจากผิวหนังของทารกบางและมีพื้นที่ผิวกายมากเมื่อเทียบกับน้ำหนัก ทำให้การดูดซึมของยาทาหรือสารต่างๆ ผ่านทางผิวหนังจะเกิดได้ง่ายกว่าปกติ การใช้ยาทาบางอย่างหรือสบู่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ สบู่ยาบางอย่าง ที่มีส่วนผสมของสาร Hexachlorophene ที่ใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไม่ควรนำมาใช้ในทารกเพราะมีรายงานในต่างประเทศ ถึงผลที่ทารกที่ได้รับยานี้ฟอกตัวมีการดูดซึมของยามากเกินไปทำให้เกิดอาการชักได้นะคะ


การเลือกแป้ง สบู่ แชมพู สำหรับทารก

ผลิตภัณฑ์เด็กควรจะปราศจากน้ำหอมและสิ่งปรุงแต่ง เช่น สี ซึ่งทำให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคืองได้ง่าย ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบทางการแพทย์แล้ว ว่าปลอดภัยสำหรับเด็กนะคะ

ไม่ยากเลยนะคะสำหรับการดูแลผิวลูกเบบี๋ของเรา ลองสังเกต รอบคอบ และรู้จักเลือกซักนิด รับรองว่าผิวลูกจะมีสุขภาพดีแน่นอนค่ะ

โดย แพทย์หญิงฐิตาภรณ์
จาก momypedia.com 

ไม่ควรปล่อยให้เด็กร้องไห้เป็นเวลานาน ๆ

เราไม่ควรปล่อยให้เด็กร้องไห้เป็นเวลานาน ๆ แต่บางครั้งเวลาที่เราต้องสอนเด็กหรือลูกรักของเราก็ต้องใจแข็งไม่ตามใจลูกทุกครั้งที่ร้องไห้ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าควรจะให้ปล่อยให้ลูกร้องไห้ได้นานแค่ไหนกัน วันนี้เรามีคำแนะนำจาก แพทย์หญิงฐิตาภรณ์ มาเล่าสู่กันฟัง


ลูกร้องไห้ นานแค่ไหน แม่ต้องเริ่มกังวล


เคยสงสัยมั้ยคะ เด็กทารกร้องไห้ต่อเนื่องในแต่ละครั้ง เมื่อไหร่ เราจะกังวลว่า นานเกินไป...??

ปกติ เด็กแรกเดิกในช่วงเดือนแรก จะเป็นช่วงที่ร้องไห้เยอะที่สุด และจะค่อยๆลดลงหลังอายุ 3 เดือน เนื่องจากทารกเริ่มมองเห็น จำได้ เริ่มเคลื่อนไหวได้ โดยสาเหตุที่เบบี๋ร้องไห้ อาจเป็นจาก
- หนูเหงา
- หนูเบื่อ
- หนูหิว
- หนูหนาว
- หนูเหนื่อย
- หนูไม่สบายตัว
- หนูปวดท้อง
- หนูไม่ชอบชุดนี้
- หนูยังไม่ง่วง
- หนูกลัว
- หนูอยากให้แม่อุ้ม
- หนูไม่อยากในใครก็ไม่รู้มาอุ้มหนู
- หนูไม่ชอบถูกจับแก้ม
- หนูยังอยากให้แม่อุ้มต่อ ...
สำหรับเด็กที่ยังพูดไม่ได้ การร้องไห้เป็นการแสดงออกที่เบบี๋จะสื่อสารกับเราได้นะคะ ช่วงแรกเกิดถึง 3 สัปดาห์แรก เป็นช่วงที่เบบี๋กับคุณแม่ต้องปรับตัวเข้าหากัน หลังจากเริ่มจูนกันได้มากขึ้น เสียงร้องของลูกก็จะน้อยลง เมื่อลุกเริ่มโตจนถึงวัยเตาะเเตะ จะยังร้องไห้อยู่ เมื่อหิว หนาว หรือไม่สบายตัว หรือตกใจ 

การร้องไห้ ไม่มีผลกระทบกับสมอง แต่การปล่อยให้ลูกร้องไห้ตามลำพัง จนลูกหมดเเรง และหยุดไปเองและหลับไปในที่สุด จะเป็นอีกสาเหตุ ให้เด็กเกิดความเครียด และจะมีสารเคมีที่เกี่ยวกับความเครียด หลั่งมาจากสมอง ในระยะยาว จะมีผลต่อภาวะจิตใจ และการเรียนของลูกได้ค่ะ

ดังนั้นไม่ควร เชื่อ กับความเชื่อที่ว่า
"ร้องไห้นานๆจะได้ปล่อยให้ลูกบริหารปอดนะคะ"

momypedia.com

แพทย์หญิงฐิตาภรณ์





หลักการเลือกของเล่นให้กับเด็ก

ประโยชน์การเล่นของเล่นในเด็กทารก1.ใช้สายตามองเพื่อประสานจับสิ่งของ
2.ฝึกควบคุมการใช้กล้ามเนื้อให้แข็งแรง
3.เข้าใจผลที่เกิดขึ้น เช่น เคาะของแล้วมีเสียงดัง
4.ฝึกการแก้ปัญหา เช่น เอาของเล่นออกจากกล่อง
5.มีการตอบสนองกับผู้เล่นเช่นเล่นจ๊ะเอ๋


การเล่นกับทารก

1.วัย 1-4 เดือน ชอบมองของสีสันสดใส เด็กจะสนใจใบหน้าคนเป็นพิเศษ พ่อแม่หาโมบายสีสันสดใสแขวนไว้ข้างเตียง บางอย่างมีเสียงด้วยเด็กจะชอบเล่นได้นานขึ้น เลื่อนของเล่นเข้าออกฝึกให้ลูกใช้กล้ามเนื้อตาและรู้ระยะทาง
2.เสียงดนตรีออเคสต้าฝึกให้ลูกแยกแยะเสียงที่ได้ยินและพัฒนาการของสมอง เวลาฟังเพลงพ่อแม่จับลูกโยกตัวยกแขน ยดขาด้วย

3.วัย4 เดือน ลูกจ้องมองได้ดีหาหนังสือทำด้วยฟองน้ำชี้ให้ลูกมองตาม เล่าให้ฟังด้วยเสียงสูงต่ำ

4.วัย 8 เดือนขึ้นไป เล่นจ๊ะเอ๋ เคาะของให้เกิดเสียง 

5.อายุใกล้ 1 ปีลูกเริ่มเลียนแบบสอนลูกบ๊ายบาย เต้นตามเสียงเพลง


อันตรายจากของเล่นของเล่นมีประโยชน์ก็จริงแต่ของเล่นในท้องตลาดบางอย่างอาจไม่ได้มาตรฐาน อาจดูจากเครื่องหมาย มอก.



ของเล่นที่มีคุณสมบัติต่อไปนี้ห้ามให้ทารกและเด็กเล่นเด็ดขาด1.ของเล่นใช้กระแสไฟฟ้าในการทำงาน อาจเกิดกระแสไฟรั่วได้
2.
ของเล่นปล่อยชิ้นส่วนให้พุ่งออกไปได้
3.ของเล่นมีเสียงดังมากอาจมีผลต่อประสาทหูเด็ก
4.ของเล่นมีสายหรือเชือกยาวเกินกว่า 20เซนติเมตร อาจพันรอบคอเด็กรัดแน่นจนหายใจไม่ออก
5.ของเล่นมีส่วนประกอบที่แหลมคม
6.ของเล่นไม่ทนทานแยกเป็นชิ้นเล็กๆได้
7.ของเล่นทำจากสีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
8.ของเล่นมีขนาดเล็กมากอาจอุดกั้นทางเดินหายใจได้ การดูขนาดสิ่งของควรให้มีขนาดใหญ่กว่า 4.4 ซม. ทดสอบโดยใช้แกนกระดาษชำระถ้าของเล่นผ่านแกนกระดาษชำระได้แสดงว่ามีขนาดเล็กเกิน ไม่เหมาะสำหรับเด็กอายต่ำกว่า 3 ปี
9.ของเล่นลูกโป่งไม่ควรนำมาให้เด็กเล็กเล่นอาจกลืนและหลุดเข้าไปอุดกลั้นทางเดินหายใจได้

การแพ้นมวัวในเด็กเล็ก

การแพ้นมวัว

ปัจจุบัน อุบัติการณ์ภูมิแพ้ในเด็กไทยเพิ่มมากขึ้น การเกิดภูมิแพ้จะเป็นตั้งแต่ขวบปีแรกโปรตีนในนมวัวเป็นสาเหตุการแพ้ที่พบมากในเด็ก จริงๆแล้วกา แพ้นมวัวอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ เนื่องจากคุณแม่เดิมช่วงยังไม่ตั้งครรภ์กินนมวัวน้อยมากพอตั้งครรภ์ดื่มนมวัวในปริมาณมากจึงมีการกระตุ้นให้เด็กเป็นภูมิแพ้มากขึ้นขอแนะนำว่าคุณผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ควรกินนมวัว ปริมาณเท่าเดิม กินนมถั่วเหลืองบ้างกินแคลเซี่ยมเม็ดเสริมเพื่อไม่ให้โปรตีนจากนมวัวที่มากเกินไป จนอาจเกิดการกระตุ้นภาวะภูมิแพ้ในลูก และเมื่อคลอดลูกแล้วช่วงให้นมลูกก็ปฏิบัติเหมือนช่วงตั้งครรภ์เมื่อคลอดลูกแล้วแนะนำให้กินนมแม่ให้มากที่สุด ถ้าจำเป็นต้องเสริมนมถ้าไม่มีประวัติการเป็นโรคภูมิแพ้ในครอบครัวสามารถให้นมกระป๋องธรรมดาได้ แต่ถ้ามีประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัวหมายถึง คุณพ่อ คุณแม่และพี่น้อง ควรปรึกษากุมารแพทย์เพื่อพิจารณานมที่เหมาะสมสำหรับลูก

อาการของการแพ้นมวัว
1 อาการทางผิวหนัง มีผื่นคันตามร่างกาย
2 อาการทางระบบทางเดินหายใจเด็กจะป่วยบ่อยเนื่องจากการติดเชื้อที่ทางเดินหายใจมีเสมหะมากคัดจมูก
อาการทางระบบทางเดินอาหาร มีอาการท้องเสีย น้ำหนักขึ้นน้อย

การวินิจฉัยการแพ้นมวัว
เป็นการดูอาการของเด็กคือเมื่อเรางดผลิตภัณฑ์จากนมวัวอาการที่เคยเป็น
ค่อยๆดีขึ้นอาการป่วยห่างขึ้นเสมหะน้อยลง น้ำหนักขึ้นดี
ในเด็กที่มีแนวโน้มจะเป็นภูมิแพ้ นอกจากงดผลิตภัณฑ์จากนมวัวแล้ว ควรเริ่มไข่แดงหลังอายุ 6 เดือน ไข่ขาวและอาหารทะเลหลังอายุ 1 ปี

ทำอย่างไรเมื่อลูกแพ้นมวัว
ถ้าสงสัยว่าลูกแพ้นมวัว จริงจริงแล้วถ้าสามารถให้นมแม่ได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วคุณแม่ ควรงดผลิตภัณฑ์จากวัวด้วยแต่ถ้าจำเป็นต้องให้นมผสมเสริม ควรเปลี่ยนให้ลูกกินนมที่ ผลิตสำหรับการป้องกันการเกิดภูมิแพ้นมกลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นนมวัวแต่จะย่อยโปรตีนในนมวัวให้มีขนาดเล็กลง โอกาสเกิดภูมิแพ้จะน้อยลงด้วย แต่เด็กที่แพ้มากอาจต้องกินนมถั่วเหลืองแทน                            

การเลือกนมผสมให้ลูกรัก


นมแม่ดีที่สุดสำหรับลูกแต่ถ้ามีความจำเป็นต้องให้นมผสมย่อมเกิดคำถามว่าจะเลือกนมให้ลูกอย่างไรดีนมผสมหรือนมกระป๋องทุกชนิดจะต้องผสมสารอาหารขั้นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับเด็กจึงมั่นใจได้ว่านมทุกชนิดมีสารอาหาร น้ำตาล โปรตีนไขมัน วิตามินและเกลือแร่ที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของลูก ความแตกต่างอยู่ที่สารอาหาร บางชนิดที่เติมลงไป เพื่อประโยชน์ตามสิ่งที่เติมลงไป ถ้าถามกุมารแพทย์คงแนะนำว่านมชนิดไหนก็เหมือนกันถ้าลูกกินแล้วโตดี ขับถ่ายปกติ นมนั้นก็เหมาะกับลูกแล้วจะขอแนะนำความรู้ทั่วไปของนมผสม



ชนิดของนมผสม
1.นมสำหรับเด็กเกิดก่อนกำหนด จะมีพลังงานสูงและสารอาหารเหมาะสำหรับทารกเกิดก่อนกำหนด
2.นมเด็กเล็กแรกเกิด-1 ปี มีโปรตีนที่น้อยกว่านมเด็กโตเหมาะสำหรับเด็กวัยต่ำกว่า 1ปี
เนื่องจากไตของเด็กต่ำกว่า 1 ปียังทำงานไม่เต็มที่จึงควรให้ลูกกินนมเด็กเล็กจนถึงอายุปี
3.นมเด็กโตสำหรับเด็กวัย 1ปี--3ปี
4.นมกล่อง,พลาสเจอร์ไรส์ สามารถให้ในเด็กวัย1ปีขึ้นไป
5.นมพิเศษสำหรับเด็กที่มีปัญหาในการย่อย,แพ้โปรตีนนมวัว
    5.1 นมที่ไม่มีน้ำตาลแลกโตส สำหรับเด็กที่ท้องเสียจากเชื้อไวรัสโรตาทำให้ขาดน้ำย่อยแลกโคสชั่วคราว
    5.2 นมถั่วเหลือง สำหรับเด็กที่แพ้โปรตีนจากนมวัว
    5.3 นมสูตร ไฮโปรอัลเลอยี่{HA}เป็นสูตรนมที่มีการย่อยโปรตีนในนมวัวให้มีขนาดเล็กลง ใช้สำหรับป้องกันการเกิดภูมิแพ้ในเด็กที่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว หรือเด็กที่มีอาการแพ้นมวัว
   5.4 นมสูตร เคซีนไฮรโดรไลเสท ได้แก่ พรีเจตติมิลและนิวตรามิเจนสำหรับเด็กที่แพ้โปรตีนจากนมวัวหรือมีปัญหาการดูดซึมสารอาหาร  และอาการไม่ดีขึ้นจากการกินนมสูตรHA  หรือ นมถั่วเหลือง 
                                
การเลือกใช้นมชนิดพิเศษนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

การดูและเด็กออทิสติก

ออทิสติก

ออทิสซึม คือ อะไร

จาก DSM IV—The American Psychiatric Association's Diagnostic and Statistic
Manualof Mental Disorders-Fourth Edition (1994)
—จัดออทิสติก เป็น "pervasive developmental disorders" ซึ่งก็คือมีความผิดปกติในด้าน
พัฒนาการอย่างรอบด้าน แสดงอาการอย่างชัดเจนในวัยเด็ก ก่อให้เกิดพัฒนาการทางด้านความ
สัมพันธ์ทางสังคมและการสื่อสาร ไม่เป็นไปตามปกติ ส่งผลให้มี พฤติกรรมความสนใจ และ
กิจกรรมที่ผิดปกติ

ลักษณะต่าง ๆ ในบุคคลออทิสติก

1.เข้ากับคนอื่นได้ยาก หรือไม่ได้เลย 10.ชอบอยู่คนเดียว
2.ทำอะไรซ้ำ ๆ 11.ไม่ชอบให้กอด
3.หัวเราะอย่างไม่มีเหตุผล 12.หมุนตัว หรือสิ่งของ
4.กลัวในสิ่งไม่สมควรกลัว 13.กระตุ้นตัวเอง
5.ไม่สบตาคน 14.หงุดหงิด งอแง โดยไม่มีเหตุผล
6.ไม่ตอบสนองต่อการสอนตามปกติ 15.เรียกไม่หัน
7.มีท่าทางการเล่นแปลก ๆ 16.ติดวัตถุ สิ่งของบางชิ้น
8.อาจไว หรือไม่ไวต่อความเจ็บปวด 17.กล้ามเนื้อใหญ่และเล็ก พัฒนาไม่ปกติ
9.ส่งเสียงประหลาด 18.แสดงความต้องการไม่ได้ ใช้ท่าทาง หรือจับมือผู้อยู่ใกล้ไปหยิบของที่ต้องการ


การสังเกตพฤติกรรมในบุคคลออทิสติก 
บุคคลออทิสติก จะมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ 3 ด้านใหญ่ ๆ คือ

1.ความสัมพันธ์ทางสังคม 2.การสื่อสาร 3.ความสนใจและกิจกรรม


ลักษณะพิเศษของบุคคลออทิสติก 
1.บกพร่องในด้านความสัมพันธ์ทางสังคม
2.บกพร่องในด้านการสื่อสาร
3.พฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมต่าง ๆ เป็นไปอย่างจำกัด และซ้ำ ๆ

บุคคลออทิสติกแต่ละคน มีความสามารถแตกต่างกันอย่างมาก
ออทิสติกแต่ละคน จะแตกต่างกัน สภาพปัญหาต่างกัน แนวทางการรักษาจึงย่อมแตกต่างกัน

สาเหตุการเกิดออทิสซึม 1.ทางพันธุกรรม อยู่ในระหว่างการศึกษา ค้นคว้า ยังไม่พบคำตอบที่ชัดเจน แต่พบว่าฝาแฝด
จากไข่ใบเดียวกัน ถ้าคนหนึ่งเป็นออทิสติก อีกคนจะเป็นด้วย
2.โรคติดเชื้อ ปัจจุบันยังไม่พบว่า เชื้อโรคชนิดใด ที่ก่อให้เกิด กลุ่มอาการออทิสซึม
3.ประสาทวิทยา จากการศึกษาของ Magaret Bauman กุมารแพทย์ จากโรงพยาบาล บอสตัน
ซิติ พบว่า ออทิสติก จะมีความผิดปกติในสมอง 3 แห่ง คือ limbic system, cerebellum
และ cerebellar circuits ปัจจุบัน พบว่า ในพื้นที่ทั้ง 3 แห่ง มีความผิดปกติ ดังนี้

1.Purkinje cells เหลือน้อยมาก
2.ยังคงเหลือ "วงจร" เซลประสาท ซึ่งจะพบได้แต่ในตัวอ่อนเท่านั้น "วงจร" เซลประสาทที่
เหลือนี้จะเชื่อมต่อกับ ระบบประสาทส่วนกลางทั้งหมด
3.มีเซลประสาทเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในบริเวณ limbic system, hippocampus,
amygdala

จากการค้นพบนี้ Bauman สรุปว่า ออทิสซึม มีความผิดปกติด้านพัฒนาการของสมอง
ตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อน ในระยะ 30 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ความผิดปกตินี้ ส่งผลให้
Limbic system ไม่มีการพัฒนา limbic system เกี่ยวข้องกับ พฤติกรรม การรับรู้
และความจำ เมื่อบริเวณนี้ผิดปกติจึงมีผลให้ ความสัมพันธ์ทางสังคม ภาษา
และการเรียน ผิดปกติไปด้วย (Bauman, 1991)


4.Neurochemical Causes(สารประกอบทางเคมีในระบบประสาท) พบว่ามี neurotran
smittersบางตัว สูงผิดปกติ ได้แก่ serotonin, dopaminergic และ endogenous opioid
systems แต่เมื่อใช้ยาที่ต้านสารเหล่านี้ กลับไม่ทำให้อาการต่าง ๆ ในออทิสซึมดีขึ้น
5.การบาดเจ็บ ก่อน ระหว่าง และหลังการคลอด

แนวคิดและรูปแบบในการให้ความช่วยเหลือเด็กหรือบุคคลออทิสติกในระดับชุมชน
บุคคลออทิสติก คือบุคคลที่แสดงออกซึ่งกลุ่มอาการออทิซึม เด็กออทิสติกคือเด็กที่แสดงออก
ซึ่งกลุ่มอาการออทิซึ่ม

กลุ่มอาการออทิซึมเกิดจากความผิดปกติทางสมองและระบบประสามสัมผัสมาตั้งแต่ก่อนและ
หรือหลังคลอด จากหลายสาเหตุซึ่งกำลังอยู่ในระยะค้นคว้าศึกษาถึงปัจจัยของสาเหตุที่แน่นอน
ความผิดปกติดังกล่าวทำให้การรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ผิวหนัง ตา หู จมูก ลิ้น เบี่ยงเบน
ผิดแผกไปจากคนปกติ ส่งผลให้การประมวลผลข้อมูลในสมองผิดปกติ ซึ่งที่ตัวเนื้อสมองเองก็
ผิดปกติอยู่แล้วยิ่งเมื่อได้ข้อมูลที่เบี่ยงเบนผิดแผกแตกต่างไปจากของคนปกติ ก็แน่นอนว่า
การประมวลผลข้อมูลในสมองของเด็กหรือบุคคลออทิสติกย่อมจะต้องผิดแผกแตกต่างไปจาก
คนปกติเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้การตอบสนองของเด็กหรือบุคคลออทิสติกก็จะต้องผิดปกติไปจากคนปกติ การตอบ
สนองผิดปกติก็คือ การแสดงออกซึ่งพฤติกรรมที่ผิดปกติ ดังนั้นกลุ่มอาการออทิซึ่ม จึงเป็นกลุ่ม
อาการที่แสดงออกซึ่งพฤติกรรมที่ผิดปกติไปจากพฤติกรรมของคนปกติโดยพฤติกรรมที่ผิดปกติ
นี้จะสังเกตเห็นชัดเจนเต็มที่ได้ที่อายุ ๓ ปีขึ้นไป แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะรู้ถึงความผิดปกตินี้ได้ตั้งแต่
แรกเกิดจนถึงปีกว่าๆ ปัจจุบันยังไม่มีการตรวจทางการแพทย์ที่แน่นอนใดๆ ที่จะบ่งชี้ได้ว่าเด็กคน
ไหนจะเป็นออทิสติกหรือไม่ ข้อที่จะบ่งชี้ได้แต่เพียงประการเดียวก็คือ พฤติกรรมที่ผิดปกติ ที่จะได้
มาจากการสังเกตและการซักประวัติ เท่านั้น จะไม่มองเห็นได้ด้วยตาหรือตรวจรู้ได้ทันทีเฉกเช่น
ความผิดปกติอื่นๆ ที่เราคุ้นเคยกัน เป็นต้นว่า ผู้พิการแขนขา หูหนวกตาบอด ปัญญาอ่อนแบบ
กลุ่มอาการดาวน์ ฯลฯ

เพราะรูปลักษณ์ภายนอกทางสรีระร่างกายของเด็กกลุ่มนี้ไม่มีความแตกต่างไปจากเด็กปกติหาก
ไม่มีความพิการอย่างอื่นซ้ำซ้อนร่วมด้วยนี่คือความแตกต่างไปจากผู้ด้อยโอกาสหรือผู้พิการกลุ่ม
อื่นๆ

ประการหนึ่งของเด็กกลุ่มออทิสติก พฤติกรรมที่ผิดปกติในเด็กหรือบุคคลออทิสติกดังกล่าวจะ
แสดงออกใน ๓ ลักษณะใหญ่ๆดังนี้

1.กิจกรรมความสนใจที่ซ้ำๆ ยากต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น ติดของบางอย่าง กินอาหารแต่เพียงบาง
อย่างซ้ำเล่นอะไรซ้ำๆ กิริยาบางอย่างซ้ำๆซากๆ เป็นต้นว่า การหมุนวนตัวเอง การเล่นมือ การเอา
วัตถุมาเคาะการเอามือเคาะตามพื้นผิวต่างๆ การเดินเขย่งเท้า การวิ่งพล่านไปมาไม่อยู่นิ่ง ชอบดม
สิ่งของต่างๆ ชอบแกะแคะเก็บกินสิ่งต่างๆ ที่เด็กหรือคนปกติไม่ทำ ชอบลงไปนอนคลุกกับพื้น ชอบ
ปีนป่าย สนใจแสงและวัตถุเคลื่อนไหว หยีตามองแสงอาทิตย์ได้นานๆ จ้องมองไฟนีออนได้นานๆ
ชอบปีนขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ บนหลังตู้สูงๆ จะเอาอะไรก็ไม่พูดไม่บอกใช้วิธีจูงมือผู้ใหญ่ไปหยิบให้ ฯลฯ
กิจกรรมความสนใจเหล่านี้สะท้อนออกซึ่งความผิดปกติ เป็นอันดับแรกที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลย
คือ เขาไม่สนใจคน ความสนใจของเด็กออทิสติกอยู่ที่สิ่งอื่นๆทั้งหมด แต่ไม่ใช่ที่คนด้วยกัน ถ้าไม่ได้
รับการฝึกฝนหรือกระตุ้นเขาจะไม่สนใจคนไม่มองหน้าคนเด็กออทิสติกเมื่อตอนเล็กๆจึงไม่แปลก
หน้าใครเลย

2.การสูญเสียทางด้านภาษาและการสื่อความหมาย ทั้งภาษาพูดและภาษาท่าทาง เป็นที่ทราบกันดี
ว่าเด็กปกติเรียนรู้ภาษาและการสื่อความหมายจากการสังเกตุและเลียนแบบผู้คนรอบข้าง แต่เด็ก
ออทิสติกไม่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากกิจกรรมความสนใจที่หมกหมุ่นซ้ำซากดังกล่าวปิดกั้นและจำกัด
พวกเขาจากการสังเกตุผู้คนรอบข้างเมื่อไม่สังเกตไม่สนใจก็ไม่เกิดการเลียนแบบ เมื่อไม่เกิดการ
เลียนแบบการเรียนรู้ทางด้านภาษาและการสื่อความหมายก็จึงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นเด็กออทิสติกถ้า
ไม่ได้รับการฝึกฝน จะไม่เรียนรู้จากการสังเหตุหรือเลียนแบบใครหรืออะไรอย่างมีความหมายเลย
เด็กออทิสติกส่วนใหญ่จึงไม่พูด หรือถ้าพูดได้ก็ไม่ชัด ไม่เป็นคำกลายเป็นภาษาเฉพาะของตัวเขา
เอง หรือพูดได้ชัดเจนดีมากเป็นต่อยหอยแต่ก็ไม่รู้ความหมายเป็นเหมือนการสะท้อนเสียงคนแบบ
นกแก้วเท่านั้น

3.การสูญเสียทางด้านสังคม เมื่อไม่รู้ภาษาก็จึงสื่อความหมายไม่ได้ สื่อความหมายไม่ได้ก็ไม่เกิด
การเรียนรู้ทางสังคม เมื่อไม่ได้เรียนรู้ทางสังคมก็ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ทางสังคมของบุคคลต่างๆ
ตั้งแต่พ่อแม่พี่น้องในครอบครัว ครู ตำรวจ ฯลฯ ในชุมชน ไปจนถึงบุคคลในสังคมระดับกว้าง

ก็จึงแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องไม่สามารถมีปฏิกิริยาต่อสัมพันธภาพของบุคคลในสังคมได้อย่างถูก
ต้องเหมาะสมในทุกระดับ เมื่อไม่สามาถปฎิสัมพันธ์กับคนอื่นได้ก็จึงแยกตัวอยู่คนเดียวในโลกส่วน
ตัวของเขา เองความผิดปกติใหญ่ๆ ในทั้งสามลักษณะนี้เกี่ยวเนื่องต่อโยงกันเป็นวงจรปิด คือปิดให้
เด็กหรือบุคคลออทิสติกแยกตัวอยู่คนเดียวในโลกส่วนตัวภายในหัวสมองของเขาเท่านั้น

เด็กออทิสติกจึงมักเล่นคนเดียวไม่เล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน
บุคคลออทิสติกก็ชอบอยู่คนเดียวไม่สุงสิงกับใคร
หัวใจของการช่วยเหลือเด็กหรือบุคคลออทิสติกนั้นกิจกรรมการเรียนการสอนการฝึกทักษะที่ทีมครู
จัดให้เด็กจะต้องมีแผนการสลายและดัดแปลงพฤติกรรมผิดปกติที่ไม่พึงประสงค์และสร้างเสริม
พฤติกรรมแบบคนปกติที่พึงประสงค์รวมอยู่ด้วยเสมอ จนกระทั่งไม่พบพฤติกรรมที่ผิดปกติและหรือ
เหลือเป็นพฤติกรรมที่ปกติเท่านั้นในที่สุด

จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ว่าออทิสติกเป็นปัญหาที่พฤติกรรม โดยเฉพาะ
พฤติกรรม การเรียนรู้ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องถึงพฤติกรรมทางสังคม นี่คือข้อแตกต่างจากผู้พิการหรือผู้
ด้อยโอกาสกลุ่มอื่นๆ ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ของเด็กกลุ่มออทิสติก ด้วยข้อบ่งชึ้ทางการแพทย์ที่ว่า
พฤติกรรมที่ผิดปกตินี้เกิดจากความผิดปกติของสมองและระบบประสาทสัมผัสทั้งห้าทำให้เด็กหรือ
บุคคลออทิสติกมี การรับรู้ทางประสาทสัมผัสและ การประมวลผลข้อมูลในสมองเบี่ยงเบนไปจากของ
คนปกติส่งผลให้การตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมเบี่ยงเบนไปจาก ของคนปกติออทิสติกจึงไม่ใช่เรื่อง
ของคนโรคจิต จึงเป็นความผิดบาปอย่างมหันต์ที่จะปล่อยให้เด็กหรือบุคคลกลุ่มนี้ โดยเฉพาะกับเด็ก
เล็กๆอายุเพียงสองสามขวบถูกปฎิบัติอย่างกับคนโรคจิตจากบุคลากร ทางการแพทย์ด้วยการให้ได้
รับยากดประสาทที่ใช้กับคนโรคจิตประสาท เข้าไปกดสมองและคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายให้
นิ่งให้ซึม ให้หลับและที่สำคัญที่สุดยังไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆ ยืนยันว่ายารักษาคนโรคจิตจะทำให้เด็กหรือ
มนุษย์ฉลาดและรู้จักตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมดีขึ้นในระยะยาว

เราควรจะต้องตระหนักกันว่าเด็กจะฉลาดและเรียนรู้ได้ดีก็ด้วยการ
อบรมบ่มเพาะจากผู้ใหญ่และสังคมเท่านั้น

การผลักดันให้เด็กออทิสติกซึ่งมีปัญหาทางด้านการเรียนรู้และการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไม่
ถูกต้องเข้าไปอยู่ในอุ้งมือบุคคลากรทางการแพทย์ที่ถนัดแต่จะใช้ยาในการรักษาโรคเท่านั้นในบาง
รายบางกรณีจึงค่อนข้างเป็นการเสี่ยงภัยอย่างยิ่ง

ดังนั้นจึงคงจะต้องชี้ให้ชัดกันไปเลยว่า โดยหลักการบทบาทของแพทย์น่าจะเป็นเพียงผู้วินิจฉัยเท่านั้น
แพทย์ไม่ได้ ถูกอบรมบ่มเพาะมาให้ฝึกสอนเด็กโดยเฉพาะเด็กออทิสติก เมื่อผ่านการวินิจฉัยแล้วจะ
ต้องส่งต่อให้เป็นเรื่องของนักพฤติกรรมบำบัดหรือนักจิตวิทยาคลีนิค นักฝึกพูดบำบัด นักกายภาพบำบัด
นักกิจกรรมบำบัด อยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งเป็น ระยะที่ไม่น่าจะนานนักจากนั้นจึงเป็นเรื่องของครูการศึกษา
พิเศษอยู่อีกระยะหนึ่ง ต่อจากนั้นในระยะยาวก็จะต้องเป็น เรื่องของครูทั่วไปเป็นด้านหลักเฉกเช่นเด็ก
ปกติ หากการกระตุ้นพัฒนาการกับนักบำบัดต่างๆและกับครูการศึกษา พิเศษตามที่กล่าวมานี้ประสบ
ผลสำเร็จทว่าในสภาพความเป็นจริงนักบำบัดต่างๆ รวมทั้งครูการศึกษาพิเศษที่ กล่าวถึงเหล่านี้มีอยู่
เพียงหยิบมือเดียวกระจุกตัวอยู่ในที่เจริญ และส่วนมากที่สุดยังไม่ตื่นตัวพอที่จะมาทำเรื่อง ออทิสติก
อย่างเป็นการเป็นงานหรือเป็นกิจลักษณะอย่างที่จังหวัดขอนแก่น ก็มีอยู่แต่ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์
ครูการศึกษาพิเศษก็มีอยู่แต่ที่โรงเรียนการศึกษาพิเศษและศูนย์การศึกษาพิเศษเขต ๙ อยู่ไม่กี่คน
บุคคลากรที่ มีอยู่เพียงหยิบมือเดียวเหล่านี้จึงไม่อาจเป็นที่พึ่งของประชากรออทิสติกที่อยู่ห่างไกล
อย่างอำเภอบ้านไผ่ได้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเป็นที่พึ่งของอำเภออื่นๆที่อยู่ห่างไกลกันดารออก
ไปอีก แต่ทั้งนี้ก็ในสภาพความเป็นจริงอีกเช่นกัน ที่ครูทั่วไปมีอยู่ทั่วไป ทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ
ครูทั่วไปเหล่านี้มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงของเมืองไทย และมีอยู่อย่างลงลึกถึงระดับหมู่บ้าน

ทำอย่างไรจึงจะยกระดับครูทั่วไปเหล่านี้ ให้ขึ้นหรือเข้ามาทำงานกับเด็กออทิสติกได้ ทำอย่างไรจึง
จะให้ครูทั่วไป ที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงเหล่านี้เปิดโลกเปิดใจตอบรับเด็กกลุ่มออทิสติก นี่เป็นเรื่องที่
กระทรวงศึกษาฯจะต้องเร่งศึกษาและมีนโยบายตลอดจนแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมลงมา

เพราะพฤติกรรมที่ผิดปกติของเด็กออทิสติกจะหมดไปได้ในระยะยาวก็โดยการสอน
ให้เขารู้จักตอบสนอง ต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างถูกต้อง นั่นคือการฝึกการสอนให้เขามี
พฤติกรรมที่ถูกต้องเหมาะสมในทุกๆด้าน ไม่ใช่ด้วยการให้กินยา และไม่ใช่
ด้วยการให้ความรักแบบอวิชาของพ่อแม่ ความรักจะไม่ช่วยอะไรเลย
ถ้าคุณไม่มีเวลาที่จะสอนและถ้าคุณไม่รู้จักวิธีที่จะสอน


วิธีการฝึกวิธีการสอนสำหรับเด็กออทิสติก ปัจจุบันเรามีอยู่แล้วอย่างเป็นระบบเป็นหลักสูตรแต่เรา
ขาดครูขาดหน่วยงานที่จะมาบริหาร ขาดบุคลากรขาดทุนทรัพย์ที่จะถ่ายทอดจากภาษาอังกฤษเป็น
ภาษาไทย ทุกหน่วยงานส่วนใหญ่ ในชุมชนยังมองไม่เห็นแนวทางที่จะเดินไป แต่ถ้าหากได้รับ
ความร่วมมือจากครูทั่วไปและจากหน่วยงานโดยเฉพาะโรงเรียนในชุมชนที่ครูทั่วไปสังกัด เด็ก
ออทิสติกรุ่นหลังๆจะเดินทางสู่ความเป็นคนเต็มคนอย่างเต็มศักยภาพได้ทุกเศษฐะฐานะ เพราะ
ความผิดปกติของเด็กออทิสติกดังกล่าวทำให้เด็กออทิสติกอยู่ในภาวะที่ต้องสอนกันทุกอย่างๆ
ต้องสอนกันอย่างรอบด้านทุกๆ ด้าน พวกเขาจึงต้องการครู และครูหลายคน เป็นทีม พวกเขาก็
จึงเช่นเดียวกับเด็กปกติต้องการโรงเรียน ต้องการห้องเรียน และต้องการเพื่อนในวัยเดียวกัน เป็น
ความจำเป็นพื้นฐานที่เด็กกลุ่มนี้จะต้องได้รับสิ่งเหล่านี้ สังคมทุกส่วนจะต้องตระหนักและเห็นใจ
และเข้าใจว่าครอบครัวหรือเพียงแม่เท่านั้นไม่เพียงพอต่อการพัฒนาศักยภาพของเด็กกลุ่มนี้ให้ไป
สู่จุดสูงสุดได้

อันดับแรกต้องทำให้เด็กออทิสติกให้ความสนใจคน มองหน้าและสบตาคน นั่นคือทักษะการให้ความ
ตั้งใจจากนั้นการฟังคำสั่งของคนโดยตอบสนองต่อคำสั่งอย่างง่ายก่อน เช่น “ลุกขึ้น-นั่งลง”
“นั่งเรียบร้อย” เป็นอันดับต่อมา นั่นคือ ทักษะการให้ความร่วมมือเนื่องจากเด็กออทิสติกมีความผิด
ปกติที่สมองซึ่งเป็นส่วนสั่งการการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อทั้งมัดเล็กมัดใหญ่ของร่างกายทั้งระบบด้วย
คำสั่งว่า “ทำอย่างนี้” เราสามารถทำให้เด็กออทิสติกเข้าใจ มโนคติของการเลียนแบบการเคลื่อน
ไหวกล้ามเนื้อทั้งมัดเล็กมัดใหญ่

นั่นคือ ทักษะการเลียนแบบ ด้วยทักษะพื้นฐานทั้งสามนี้เราสามารถจะทำให้เด็กออทิสติกฝีกฝนทักษะ
ที่สูงขึ้นไป เป็นลำดับขั้นได้นั่นคือ ทักษะการรับรู้ทางภาษา ทักษะการแสดงออกทางภาษา ทักษะก่อน
วัยเรียน ทักษะการช่วยเหลือตัวเอง ทักษะทางวิชาการ ทักษะการใช้และเข้าใจภาษานามธรรม และ
ทักษะทางสังคม ในที่สุดเพราะ เด็กออทิสติกเป็นปัญหาที่พฤติกรรม ฉะนั้นการสอนทักษะต่างๆ ดัง
กล่าวนี้ จึงต้องใช้เทคนิคการสอนเชิงพฤติกรรมซึ่งอยู่บนพื้นฐานของหลักการของทฤษฎีการเรียนรู้
ของศาสตร์ทางด้านวิชาพฤติกรรมที่ว่า

“สิ่งเร้ากระตุ้นให้เกิดการตอบสนองและผลที่ติดตามมา หากผลที่ติดตามมาเป็นที่
น่าพึงพอใจการตอบสนองนั้นก็มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอีกได้เรื่อยๆหากไม่ก็มีแนวโน้มว่า
จะลดน้อยถอยลงหรือกระทั่งไม่มีการตอบสนองเลย”


เทคนิคการสอนเชิงพฤติกรรมประกอบด้วยเทคนิคการแตกงานหรือทักษะที่จะสอนออกเป็นส่วนย่อย
หลายๆส่วนหลายๆขั้นตอนให้ง่ายที่สุดจนกระทั่งเด็กสามารถทำได้แล้วเอาส่วนย่อยๆนั้นมาสอนให้เด็ก
ทำได้ทีละส่วนเทคนิคการแนะเพื่อประกันให้เด็กสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้องผู้สอนจะต้องใช้
เทคนิคการแนะจากมากที่สุดตั้งแต่การจับมือให้ทำ ชี้บอก บอก ฯลฯ ไปจนกระทั่งไม่มีการแนะเลย
เทคนิคการให้รางวัลและลงโทษสำหรับการตอบสนองที่ถูกและผิดในการสอนทักษะแต่ละส่วน เทคนิค
นี้เป็นหัวใจของเทคนิคตามหลักการของทฤษฏีของศาสตร์ทางด้านวิชาพฤติกรรมดังที่กล่าวแล้วข้าง
ต้น

เทคนิคการสานต่อพฤติกรรมเอาทักษะแตกย่อยแต่ละส่วนที่เด็กทำได้จนคล่องแล้วมาสานต่อกันเป็น
ทักษะหนึ่งทั้งหมดเทคนิคการขยายผลพฤติกรรม

เอาทักษะหนึ่งทั้งหมดที่เด็กทำได้แล้วกับครูผู้สอนคนหนึ่งในสถานที่หนึ่งและเวลาหนึ่งให้ไปทำได้กับ
ครูผู้สอนหรือคนอื่นๆหลายๆคนในสถานที่อื่นๆที่หลากหลายหรือในช่วงเวลาต่างๆกันออกไป

เทคนิคการรักษาไว้ซึ่งทักษะที่ทำได้แล้วให้คงทำได้อยู่ตลอดไป หมายถึงว่า ทักษะใดๆ ที่เด็กทำได้
แล้วจะต้องถูกทบทวนเป็นช่วงๆ สลับกับทักษะใหม่ๆ ที่เด็กได้รับการฝึกสอนเพิ่มเติมเข้ามาเรื่อยๆ
และที่จะลืมเสียไม่ได้ เป็นอันขาดคือ เทคนิคในการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ที่จะจัด
การกับพฤติกรรมที่ขัดขวางการเรียนรู้การเข้าสังคม การรบกวนผู้อื่น การทำร้ายผู้อื่น เช่น การโมโห
อาละวาด การเอาวัตถุมาเคาะ การเล่นมือ ฯลฯ


เราจึงต้องเปิดโลกของเด็กออทิสติกเข้าสู่สังคมของเด็กและคนปกติ การเปิดโลกของพวกเขาเข้าสู่
สังคมของผู้ด้อยโอกาสอื่นๆด้วยกันอาจจะไม่ช่วยพัฒนาศักยภาพของพวกเขาให้เป็นปกติได้อย่าง
เต็มที่ เป็นต้นว่า
การเอาเด็กออทิสติกไปเรียนปนกับผู้พิการแขนขา เขาจะเลียนแบบการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดใหญ่
ของแขนหรือขาได้อย่างไร?
การเอาเด็กออทิสติกไปเรียนร่วมกับผู้พิการทางหู เขาจะเลียนแบบการพูดและการฟังได้อย่างไร?
การเอาเด็กออทิสติกไปเรียนร่วมกับผู้พิการทางตาเขาจะเลียนแบบการมองการกวาดสายตาได้อย่างไร?

หรือการเอาเด็กออทิสติกไปเรียนรวมกับผู้พิการทางสมองแบบกลุ่มอาการดาวน์ซึ่งก็มีปัญหาทางด้าน
พฤติกรรมที่ช้าที่ต้องการความช่วยเหลือในการกระตุ้นเช่นกันแล้วเด็กออทิสติกจะได้รับการกกระตุ้น
พัฒนาการอะไรจากกลุ่มเพื่อน?

สรุปแล้วเด็กออทิสติกเข้ากันได้ดีที่สุดกับกลุ่มเด็กปกติ เนื่องเพราะเด็กออทิสติกหูก็ได้ยินเสียง ตาก็
มองเห็น แขนก็มี ขาก็มี รับสัมผัสทางผิวหนังได้ ลิ้นก็รับรู้รสได้ เราจึงจะต้องกระตุ้นพัฒนาการของ
เด็กออทิสติก โดยมีเด็กปกติในวัยเดียวกันเป็นมาตรวัด ดังนั้นพวกเขาจะได้ประโยชน์สูงสุดกับการ
กระตุ้นพัฒนาการอย่างมีการวางแผนอยู่ในสิ่งแวดล้อมของเด็กหรือคนปกติมากกว่าจะอยู่ใน
กลุ่มคนอปกติด้วยกัน

เด็กออทิสติกแต่ละคนมีพัฒาการต่างระดับกันและมีลีลาการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไปในออทิสติกแต่
ละแบบทั้งนี้จะเห็นว่าเด็กออทิสติกจะขาดครูพี่เลี้ยงไม่ได้อย่างเด็ดขาดเพราะเทคนิคการสอนเชิง
พฤติกรรมในการสอนทักษะบางด้านต้องเป็นการสอนตัวต่อตัว หรือเด็กหนึ่งครูสองด้วยซ้ำเพราะ
เด็กออทิสติกมีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อมัดต่างๆทั้งใหญ่และเล็ก ทักษะบางอย่างจึง
ต้องแนะด้วยการจับมือให้ทำ จับศรีษะให้หันมามอง เป็นต้น

ในเบื้องต้นประมาณ ๒-๕ ปี ครูพี่เลี้ยงมีความสำคัญต่อความเป็นไปได้ของการฝึกฝนทักษะที่จำเป็น
ต่างๆให้แก่เด็กกลุ่มนี้ในสิ่งแวดล้อมของเด็กปกติ

By: autismthai.com

การทำความสะอาดฟันลูกน้อย

ารทำความสะอาดฟันเล็ก ๆ ของลูกน้อย แต่กลับเป็นปัญหาการของคุณแม่มือใหม่ คงไม่มีคุณแม่คนไหนอยากให้ลูกน้อยที่เรารักฝันผุตั้งแต่ยังน้อย วันนี้เรามีวิธีการดูแลฟันของลูกน้อยที่น่ารักของเรามาฝากกันคะ่




เมื่อ ลูกฟันขึ้นหลายซี่ใช้แปรงสีฟันชนิดสวมนิ้วได้แปรงฟันให้ลูก ยังไม่ต้องใช้ยาสีฟัน หรือถ้าจะใช้เลือกใช้ชนิดของเด็กที่กลืนได้หาซื้อที่แผนกขายของเด็ก ให้ลูกหัดถือแปรงอันเล็กชนิดที่เป็นหัวยางให้ลูกคุ้นเคยกับการใช้แปรงสีฟัน ทำเรื่องแปรงฟันให้เป็นเรื่องสนุกสนานอย่าใช้วิธีบังคับ คุณแม่แปรงฟันให้ดู แปรงฟันด้วยกันทำให้เด็กรู้สึกสนุกสนานกับการแปรงฟัน ค่อยๆฝึกให้ลูกบ้วนน้ำโดยใช้น้ำต้มสุกก่อน เมื่อลูกบ้วนได้แน่นอนแล้วจึงใช้ยาสีฟันและใช้น้ำธรรมดาบ้วนปาก อายุ1 ปีขึ้นไปควรเลิกดูดจุกนมเพราะการนมค้างอยู่ในปากทำให้ฟันผุ อย่าหัดให้ลูกกินลูกอม กินของหวานหรือน้ำหวาน เมื่อลูกโตขึ้นกินอาหารหลากหลายควรฝึกให้ลูกแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ หมอเด็กหรือหมอฟันอาจเสริมฟลูออไรด์ให้เด็กกินเพื่อป้องกันฟันผุแต่การกินฟลูออไรด์เสริมควรระมัดระวังภาวะฟลูออไรด์มากเกินไปทำให้ฟันลูกดำเนื่องจากฟลูออไรด์มีอยู่ในน้ำดื่มและอาหารด้วย การกินฟลูออไรด์จึงไม่จำเป็นต้องกินต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ควรพาลูกพบหมอฟันเมื่ออายุ 2 ปีขึ้นไปการเคลือบฟลูออไรด์ช่วยป้องกันฟันผุให้ลูกได้

เรียบเรียงโดย เซียนบล์อก
ขอบคุณข้อมูลจาก
ThaiKidClinic
 

การดูแลเด็กเล็ก ads

Most Reading